Monday, July 14, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นนเอง 10 วัน : วันที่ 8 ฮาโกเน่

วันที่ 8 : ฮาโกเน่

วันที่แปดแล้วหรือนี่ เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน  เมื่อคืนสนุกและฝันดีกับโยโกฮาม่าไป วันนี้ลุงกับป้าก็มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปฮาโกเน่ตามที่เพื่อนตุ๊รงค์แนะนำไว้ แถมเพื่อนยังหาข้อมูลให้อย่างละเอียดยิบ  

ทันทีที่ตื่นมา สิ่งแรกที่บิ๊กนึกถึงคือ "เท้าชั้น ... เท้าชั้นเป็นไงแล้ว"  แล้วก็ค่อย ๆ เหยียบลงจากเตียง..

มหัศจรรย์!!!  เท้าหายเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ได้ทายา ไม่ได้กินยา แต่คิดว่าเป็นเพราะ "หนามยอก เอาหนามบ่ง" แน่เลย เนื่องจากเมื่อวานเดิน เดิน และเดิน เดินเยอะมากแต่ไม่รู้สึกเจ็บเพราะอากาศหนาวจนเท้าชา คงเป็นเพราะเดินเยอะเนี่ยแหล่ะ เลยทำให้หาย

บิ๊กดีใจมาก เพราะวันนี้ก็เห็นท่าจะต้องเดินเยอะนะ  เพียงแต่วันนี้มีความพิเศษ 4อย่างคือ 

1) บัตรเบ่ง JR Pass หมดอายุแล้ว  จากนี้้ขึ้นรถไฟต้องจ่ายเองแล้ว

2) เป็นวันแรกที่ชาวญี่ปุ่นกลับมาทำงานแล้วนะคะ เราจะได้สัมผัสความแน่นของรถไฟโตเกียวก็วันนี้แหล่ะ  ตื่นเต้น ๆ 

3) เย็นนี้จะไปค้างบ้านชิอากิ  ชิอากิจะทำสุกี้ยากี้ home-made ให้ทาน  นั่นหมายความว่าเราต้องเตรียมของสำหรับค้าง พามันเดินทางไปเที่ยวฮาโกเน่ด้วย  ดังนั้นต้องทำน้ำหนักให้เบาที่สุด  ฮ่า ๆ  ไม่ยากเลย...เอาไปแต่เสื้อ กับแปรงสีฟัน  นอกนั้นขอหยิบยืมบ้านเพื่อน  ดีจริง ๆ !

4) กล้องเสีย!!! ใช่ค่ะ...เสียจริง ๆ เปิดไม่ติดเลย  จึงเป็นความจนใจที่จะต้องเรียนรู้การใช้กล้องในสมาร์ทโฟนตัวใหม่เสียแล้ว  แต่เมื่อได้ลองใช้ ก็ต้องบอกว่า ขอบคุณที่กล้องเสีย เพราะทำให้บิ๊กได้เรียนรู้ว่า กล้องในสมาร์ทโฟนนั้น ยอดเยี่ยมมาก ที่สำคัญ ถ่ายพานอราม่าได้  ซึ่งเริ่ดมากสำหรับวันนี้ เพราะฮาโกเน่มีแต่มุมสวย ๆ ที่น่าถ่ายรูปทั้งนั้นเลยค่ะ

ไปฮาโกเน่ก็หวังว่าจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ หรือ ฟูจิซันตามที่ชาวญี่ปุ่นเรียกขาน เช็คเว็บพยากรณ์อากาศแล้ว ทุกเว็บมีมติว่าวันนี้อากาศแจ่มใส  ฤกษ์ดีมากจริงหนอ ลุงกับป้าไปทานอาหารเช้าที่สถานีโอโมริตามปกติ  นี่คือสิ่งที่อยู่ใต้โต๊ะทุกโต๊ะในญี่ปุ่นค่ะ เอาไว้ให้ลูกค้าใส่สัมภาระนั่นเอง จะได้ไม่เกะกะเวลาทานอาหาร  เค้าคิดมาละเอียดจริง ๆ ค่ะ



วันนี้เราต้องนั่ง JR ไปลงสถานีชินจูกุ  แล้วหาทางเดินไปรถไฟสายโอดาคิว (Odakyo) โอแม่เจ้า...นี่ลงรถที่สถานีชินจูกุแล้วค่ะ  ออกแทบไม่ได้ คนแน่นไปยันบันไดเลย อดถ่ายรูปเอาไว้ไม่ได้




รถไฟสายโอดาคิว (Odakyu) นั้นหาไม่ยากเลยค่ะ เดินตามป้ายไป ก็จะพบจุดจำหน่ายตั๋วของสายโอดาคิว เราต้องซื้อสิ่งที่เรียกว่า Hokone Free Pass ค่ะ ซึ่งเป็นบัตรค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย ซื้อแล้วท่านสามารถโดยสารพาหนะได้ทุกชนิด ตั้งแต่สถานีชินจูกุไปยันฮาโกเน่  ในตัวฮาโกเน่เอง แล้วก็กลับมายังสถานีชินจูกุอีกครั้ง  บัตรนี้มีแบบใช้ได้ 3 วัน และ 2 วัน  แต่เราจะไปวันนี้วันเดียวก็เลยซื้อแบบ 2 วัน  ราคา 5,000 เยนค่ะ  แอบเสียดายเหมือนกัน ต้องทิ้งสิทธิ์ไปเปล่า ๆ อิอิ  เอาไว้อ้างว่า..คราวหน้าค่อยมาเต็ม ๆ เนอะ

ที่เห็นนี้เรียกว่า Romance car ค่ะ  เอาไว้เดินทางไปฮาโกเน่  แต่ออกเป็นเวลา และด้วยเวลาของเรา คิดว่าไปรถไฟธรรมดาน่าจะถึงเร็วว่า เลยหมายตาเอาไว้ว่า ขากลับเราค่อยกลับ Romance car ก็แล้วกัน  



ว่าแล้วก็กระโดดขึ้นรถไฟธรรมดา  วันนี้ได้ความรู้สึกว่าไปต่างจังหวัดจริง ๆ เพราะที่ผ่านมานี่เหาะไปโดยชินกันเซ็น เลยไม่ค่อยได้ฟิลลิ่งเท่าไหร่  รถไฟธรรมดาเธอก็หวานเย็นไปเรื่อย   แต่วิวสวยดีค่ะ


นั่งไปลงสถานีฮาโกเน่ ยุโมโตะ  แล้วต่อสายฮาโกเน่โทซังไปอีก  เราก็ยังใช้วิธีถามให้มั่นใจเหมือนเดิม พบความประทับใจคือ พนักงานที่ประจำชานชาลาเป็นผู้หญิง พูดภาษาอังกฤษได้ดีมากค่ะ แถมยิ้มแย้มแจ่มใสมาก  เรามาถึงสถานีฮาโกเน่ ยุโมโตะ ใกล้เที่ยงแล้ว ถ้ากินข้าวจะเสียเวลา จึงตัดสินใจเข้าร้านสะดวกซื้อซึ่งมีมากมายบนชานชาลา  ซื้อข้าวปั้นและเครื่องดื่มใส่เป้ไปกินระหว่างทางจะดีกว่า  

ระหว่างทางสังเกตได้ชัดเจนเลยว่า เพื่อนร่วมขบวนรถไฟนั้น เป็นผู้สูงอายุเสีย 80 % นอกนั้นก็จะเป็นนักท่องเที่ยวชาติต่าง ๆ  ทั้งนี้เพราะฮาโกเน่นั้นมีชื่อเสียงด้านออนเซ็นนั่นเอง ผู้สูงอายุจึงนิยมไปพักและแช่น้ำร้อนกัน  คุณตาคุณยายน่ารักกันดีค่ะ

นี่ค่า..ในที่สุดก็มาถึงวนอุทยานแห่งชาติฮาโกเน่แล้วค่ะ



ท่านที่คิดจะเที่ยวฮาโกเน่ อุ่นใจได้ รับรองไม่มีหลง เพราะทันทีที่เราซื้อ Hakone Free pass เราจะได้โบรชัวร์ (ซึ่งมีเวอร์ชั่นภาษาไทยด้วย) เค้าจะแนะนำวิธีเดินทางอย่างละเอียด ว่าต้องขึ้นอะไร ลงที่ไหน ไปต่ออะไร  บอกได้เลยว่า มาฮาโกเน่ได้ขึ้นพาหนะครบทุกรูปแบบ ยกเว้นอย่างเดียวคือเครื่องบิน!!!

ลงรถไฟที่ฮาโกเน่แล้วก็ข้ามมารอต่อรถบัสค่ะ เจ้าหน้าที่ประจำสถานีพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก  นี่คือแผนที่ของฮาโกเน่ค่ะ




ลองฟังค์ชั่นพานอราม่าในสมาร์ทโฟนเสียหน่อย  ภาพออกมาใสปิ๊ง สีแจ่มมากค่ะ




แต่คุณผู้ชมคะ..ตอนนี้เริ่มเข้าช่วงบ่ายอ่ะ  เมฆเริ่มมาเสียแล้ว  แดดยังมีอยู่ แต่เมฆก็มาก  ฟูจิซันของฉัน จะได้เห็นไหมล่ะนี่  แววไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เราขึ้นรถบัสมุ่งหน้าทะเลสาบอาชิ  ระหว่างทางนี่ก็คือการเที่ยวแล้วค่ะ  เพราะวิวสวยเหลือเกิน  รถแล่นผ่านรีสอร์ทมากมาย จอดแต่ละป้ายก็มีนักท่องเที่ยวหิ้วกระเป๋าลง จนในที่สุดก็มาถึงสถานีของเรา ทะเลสาบอาชิค่ะ  เราจะลงเรือโจรสลัดล่องทะเลสาบที่นี่

ระหว่างรอเรือมา ไปถ่ายรูปเสียหน่อย



มุมนี้คือมุมที่อยู่ในโบรชัวร์ท่องเที่ยวฮาโกเน่ทุกแผ่นค่ะ  ประตูสีส้มนั่นคือสัญลักษณ์อันสำคัญ และเราควรเห็นฟูจิซันอยู่ในเทือกเขาหลังประตูสีส้มนั่น แต่...

คุณเมฆทั้งหลายก็ช่างอวดโฉมกันบดบังฟูจิซันเสียหมด



นั่นไม่ใช่ปัญหา ไม่เห็นฟูจิแต่เรายังมีวิวทีสวยงามอีกมากมายให้ชม  เอ็นจอยอย่างอื่นดีกว่าค่ะ  คุณชายแอ็คท่าถ่ายรูป  กำลังเห่อพานอราม่า อิอิ



ทะเลสาบอาชิเกิดจากการก่อตัวของลาวาจากภูเขาไฟฟูจิ เป็นทะเลสาบห้าแห่งที่โอบล้อมรอบภูเขาไฟฟูจิ











เรือโจรสลัดมาแล้วค่ะ  นักท่องเที่ยวรอขึ้นเรือมากมาย





เรือออกจากท่าแล้ว...





ถ่ายรูปคู่





เรามโนถึงฟูจิเอาแล้วกันนะคะ  เมฆหนอเมฆ  ฟ้าตรงอื่นล่ะออกจะใส  จำเพาะจะต้องมาทึบตรงฟูจิด้วย



ลมเย็นได้ใจเหมือนกัน  คลุมหัวเป็นสาวแขกเลย







ล่องทะเลสาบประมาณ 20 นาที  ก็ขึ้นที่ท่าเรืออีกท่่าหนึ่ง  เพื่อไปขึ้นกระเช้าต่อค่ะ



ท่าเรือของเรา





จากท่าเรือนั้น เดินเข้ามาข้างในก็ไปขึ้นกระเช้าได้เลย  กระเช้าที่นี่เค้าเรียกว่า Rope way ค่ะ  หน้าตาน่ารักเชียว  นั่งได้กระเช้าละ 8-10 คน  ตอนเรามามีทัวร์กรุ๊ปนึงมาด้วย แต่สมาชิกเค้าไม่กี่คน  ยังแอบคุยกันว่า ดีจังที่มาช่วงโลว์  คนไม่เยอะ  ถ้ามาช่วงไฮซีซั่น คงต้องแย่งกันขึ้นกระเช้าอุตลุตแน่เลย







คุณชายถ่ายกับ Ropeway Cabin







ชมวิวจากมุมสูงกันนะคะ  ถ่ายออกไปจากบน Ropeway ค่ะ





สมาชิกร่วม Cabin

















กระเช้าผ่านหุบเขาโอวาคุดานิหรือ "หุบเขานรก" ที่มีควันพวยพุ่งฟุ้งกระจายเอามาจากรอยแยกของแผ่นดิน 







กระเช้าก็มีเปลี่ยนสถานีด้วยนะคะ  ลงสถานีนึง แล้วไปต่อที่อีกสถานีนึง  เดินไปตามที่โบรชัวร์บอกเลยค่ะ



ชมวิวต่อ





นี่คือโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ชิบะซากุระ ที่ทะเลสาบคาวากุชิโกะ  ตอนแรกเราจะไปที่นี่แหล่ะ  แต่เปลี่ยนใจมาฮาโกเน่  เช่นเดิมค่ะ...เอาไว้คราวหน้านะ



ลงจาก Ropeway ก็มาขึ้นรถรางต่อ  แต่เห็นว่าเวลาเหลือ เราเลยดูโบรชัวร์ ว่าสามารถลงรถรางในสถานีต่าง ๆ ระหว่างทางได้  แต่ละสถานีมีที่เที่ยวสวย ๆ ทั้งนั้นเลย เดินเที่ยวได้ เลยตัดสินใจลงสถานีหนึ่งที่มีสวนดอกไม้สวย ๆ   ว๊าว...แค่ตรงสถานีก็สวยแล้วค่ะ  




ถ้าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีคงสวยมากเลยเนอะ



เงียบสงบมาก





เราเดินมาถึงที่นี่ค่ะ  Hakone Gora Park  สวนสวยจนลืมหายใจ



ต้นไม้สีเขียวจัด จนไม่คิดว่าเป็นต้นไม้จริง  ธรรมชาติมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ















โอจิจังประทับใจจนออกท่าทางเยี่ยงนี้







ฉัน..กับต้นไม้..มีลมหายใจเดียวกัน..



ภาพนี้คุณชายเป็นคนจัดท่าให้โพสต์นะคะเนี่ย



ส่วนภาพนี้โพสต์เอง

กลางสวนคือน้ำพุแสนสวย



มองไปทางไหนก็มีแต่สีสัน
















ไม่ได้เหนื่อยนะคะ  แค่ Acting!!!



ชมสวนเสียอิ่มตาอิ่มใจ  เราก็เดินไปเรื่อย ๆ เพื่อบรรจบกับสถานีรถรางสถานีต่อไป



นี่ล่ะค่ะ สถานีรถราง



แต่ดูแล้ว รถรางขบวนต่อไป อีกตั้ง 20 นาทีกว่าจะมา  เราเลยเลือกที่จะเดินดีกว่า เพราะมันมีถนนขนานกับทางรถรางเลยค่ะ



ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกมาก เพราะระหว่างทางมีบ้านน่ารัก ๆ ให้ถ่ายรูปมากมายเลยค่ะ





เดินผ่านกลุ่มนักเรียนที่มาบำเพ็ญประโยชน์ด้วยค่ะ



ช่วยกันเก็บขยะ น่ารักดีค่ะ



และซื้อของที่ระลึกนิดหน่อย และนั่งรถไฟกลับกันแล้วนะคะ



ระหว่างทางบนรถไฟ มีคนขึ้นลงตลอด  ประทับใจกับคนญี่ปุ่นตรงการแต่งตัวนี่แหล่ะค่ะ  ไม่ว่าวัยไหน ต่างก็ไม่ยอมหยุดสวยเอาเลย ที่สำคัญคือ "สวยสมวัย" ไม่ "กระชากวัย"  ดูอย่างโอบะซังท่านนี้




นอกจากจะแอบถ่ายคุณป้าแต่งตัวงดงามแล้ว  ตรงข้ามดิฉันคือหนุ่มท่านนี้ค่ะ ซึ่งหลับตลอดทาง  ท่านผู้ชมคิดว่า นี่ใช่ "บอย ปกรณ์" ไหมคะ  ข้างกายเขามีสาวญี่ปุ่นนางหนึ่ง เกาะแขนเขาอยู่ตลอดเวลา



เรากลับมาถึงสถานีชินจูกุประมาณหกโมงเย็น  แต่เจ้ากรรม ดันลืมแผนที่รถไฟใต้ดิน  จำได้แต่ว่าต้องนั่ง subway ไปลงสถานี Kiba โทร.หาชิอากิเพื่อนรักก็ไม่รับสาย สงสัยอยู่บนรถไฟ  แต่ในที่สุดก็ติดต่อเพื่อนได้  ให้เพื่อนบอกทางว่าไปไหน  ไปยังไง

ปรากฎว่า ต้องนั่งรถใต้ดินไปไกลเหมือนกัน ใช้เวลาเกือบ 40 นาที  เพื่อนมารอรับอยู่  จริง ๆ คือ เพื่อนยืนรอเราอยู่ ยังไม่ได้กลับบ้านเลย เพราะตอนโทร.หาเค้าติด เค้าอยู่สถานีนั้นพอดี  พอเจอกันต้องขอโทษพอโพยเค้าก่อน ที่ทำให้เค้าเสียเวลา  แถมวันนี้จะค้างบ้านเค้า และเค้าจะทำสุกี้ยากี้ให้กินด้วย

เพื่อนก็น่ารักมาก ไม่โกรธเลย แถมยังพาเดินชมนกชมไม้กลับบ้าน  บอกไม่มีปัญหาเลย เครื่องสุกี้ชั้นเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

ฮ้า...ในที่สุดก็ถึงบ้านเพื่อนแล้วล่ะ  มาถึงเพื่อนก็ให้อาบน้ำเลย ระหว่างที่เพื่อนเตรียมสุกี้ยากี้  ลุงกับป้ารู้สึกเป็นเกียรติมากจริง ๆ นะ ที่ได้ทานอาหารฝีมือเพื่อน  อดถ่ายรูปไว้ไม่ได้ (ทั้ง ๆ ที่เพื่อนยังโพกหัวอยู่เลย)





Dinner is ready!!!  

สุกี้ยากี้เป็นเนื้อสัตว์เสียส่วนมาก ชิอากิเลยทำสลัดให้ด้วย  ซึ่งลุงกับป้าก็จัดเต็ม หิวด้วย สลัดสองชามหมดเกลี้ยง  สุกี้ก็เกือบหมดหม้อ  ชิอากิแอบกระซิบในวันต่อมาว่า "ดูจากปริมาณที่เธอกินแล้ว เธอน่าจะอ้วนกว่านี้นะบิ๊ก".... ก็ไม่รู้สินะ  มันไม่อ้วนเองอ่ะ  แต่อีกหน่อยก็ไม่แน่หรอกเธอ



นี่ล่ะค่ะ  สุกี้ชามของบิ๊ก จะสังเกตว่า มีเนื้อวัว เนื้อหมู ฟองเต้าหู้ และผักคึ่นช่าย  มีหัวหอมใหญ่นิดหน่อย และเค้าไม่ตักน้ำนองชามเหมือนเรานะคะ  น้ำที่ใช้ซดจะอยู่ที่มิโซะซุปค่ะ ซึ่งส่วนมากทำจากอาหารทะเล ชิอากิบอกว่า มิโซะทำให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่าได้นะ  สังเกตจากมากิลูกของเธอ  ถ้าคืนไหนได้ทานมิโซะก่อนนอน  วันรุ่งขึ้นจะตื่นอย่างกระปรี้กระเปร่าเลย

สังเกตนะคะว่าสุกี้ญี่ปุ่นไม่มีน้ำจิ้มเลย  แต่จะมีไข่ดิบเพื่อจิ้มแบบน้ำจิ้ม  คือคีบเนื้อร้อน ๆ มา จิ้มในไข่ดิบ แล้วเข้าปาก  บิ๊กเล่าให้เค้าฟังว่า เมืองไทยก็มีสุกี้ที่ประยุกต์จากญี่ปุ่นนะ เราใส่ทุกอย่างลงไปในหม้อ รวมถึงไข่ไก่ด้วย  เค้าเริ่มทำหน้าทึ่ง...จนกระทั่งเราบอกว่า สุกี้ไทยใส่แมงกะพรุนด้วยนะ (Jelly fish)  เค้าอดไม่ไหวแล้ว  อุทานออกมาเสียงดังว่า "What????!!!!"  คงคิดในใจว่า "สุกี้กลายพันธุ์"!!!!  บอกเพื่อนว่า ไว้มาเที่ยวเมืองไทยสิ แล้วจะพาไปกิน MK  ฮ่า ๆ  ญี่ปุ่นคงจะอึ้งไปเลย  เกาหัวแกร่ก ๆ ว่านี่มันอาหารชาติชั้นแน่เหรอ???



คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่จะได้เจอมาสะฟูมิ  สามีของชิอากิ เป็นโอกาสเดียวที่เราได้อยู่พร้อมหน้า เลยถ่ายรูปหมู่เสียหน่อย











Chiaki, Masa, and Makki  we are very thankful in what you have done for us.  Thank you very much indeed.  Oji Jan and Oba Jan really enjoyed you company.  We felt so privileged to be able to stay with you. Wishing you all the best.

เพื่อนชิอากิก็ยังน่ารักไม่จบนะคะ  พรุ่งนี้เธอลงทุนลางานพาเราเที่ยวโตเกียวอีกครั้ง  ขอบคุณมากเลยเพื่อน   พรุ่งนี้วางแผนว่าจะไปตลาดปลาซิกิชิ  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านชิอากิ  ชิอากิหาข้อมูลให้ พระเจ้า.... ต้องไปเข้าคิวตั้งแต่ตีสี่ (หรือก่อนหน้านั้น) เพื่อที่จะได้เข้าชมการประมูลปลา  เค้าจะปิดรับคิวตอน 4.30 น. หรือให้ได้แค่ 200 คิวเท่านั้น หากไม่ได้คิววันนี้   Sorry ต้องมาวันหลังจ้ะ  

ชิอากิบอกว่า ถ้ามาก่อนหน้านี้สัก 2 เดือนนี่ไม่ได้เข้านะ  เพราะนักท่องเที่ยวนี่แหล่ะ เข้าไปเที่ยวแล้วก็มือซน  ไปเที่ยวใช้มือเปล่าแตะปลา ซึ่งจะนำไปรับประทานเป็นปลาดิบ ก็ทำให้เนื้อปลาไม่สะอาด และคนทานก็ท้องเสีย  เค้าเลยไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอยู่พักหนึ่งเลย

ลุงกับป้าคิดว่าคงจะไปแท็กซี่ ซึ่งแน่นอนไม่พูดภาษาอังกฤษ   ชิอากิเลยเขียนภาษาญี่ปุ่นให้เราส่งให้แท็กซี่ 

วันนี้อากาศไม่หนาวมาก  นอนบ้านเพื่อนอุ่นกำลังดี  ตั้งนาฬิกาปลุกตี 03.45 น. กะจะไปถึงที่นั่น สัก 04.15 น.  

ลุงกับป้าจะไปทันมั๊ย  บรรยากาศที่ตลาดปลาจะเป็นยังไง  โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...

2 comments:

  1. We were very happy with you in Tokyo. You are always welcome back. Makki is really wishing to see you again!

    ReplyDelete
  2. Dear Masa, we really missed all of you too. My mind wanders back to Japan very often. Hope you are well.

    ReplyDelete