Saturday, October 11, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นนเอง 10 วัน : วันที่ 9 โตเกียว และวันที่ 10 กลับเมืองไทย



วันที่ 9 โตเกียวอีกครั้ง และดินเนอร์มื้อสุดท้ายในญี่ปุ่น


เช้าแล้วจ้า  สำหรับวันที่ 9 ในญี่ปุ่น  นาฬิกาปลุกส่งเสียง 03.45 น. ลุงกับป้าตื่นขึ้นมารับอรุณ  เปิดหน้าต่างบ้านชิอากิ  คุณพระ...ตีสี่ของญี่ปุ่น สว่างเหมือนเจ็ดโมงเช้าเลยค่ะคุณ  อากาศเย็นกำลังดี ชิอากิเพื่อนรักตื่นแล้ว  เราล้างหน้าแปรงฟันและเปลี่ยนเสื้อผ้า  ชิอากิเอากุญแจคอนโดมาให้ เผื่อขากลับมาจะได้ขึ้นมาได้เลย   

จุดหมายเราวันนี้คือ ตลาดปลาซึกิชิ  ตามคำบอกเล่าจะต้องไปถึง "อย่างช้า" ตีสี่ครึ่ง  เราออกจากบ้านชิอากิตีสี่นิด  ๆ  เดินมาเรียกแท็กซี่แล้วส่งกระดาษที่ชิอากิเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นเอาไว้ให้  คนขับอ่านแล้วหันมาถามอะไรเป็นภาษาญี่ปุ่นก็ไม่รู้  เราตอบ "ํYes" ไว้ก่อน   และแอบถ่ายรูปมิเตอร์เอาไว้   นั่งประมาณ สิบนาทีเองมั้ง  พันกว่าเยนเอง




มาถึงแล้วจ้ะ  นี่คือทางเข้าตลาดปลาที่ใหญ๋ที่สุดในญ๊่ปุ่น  สว่างขนาดนี้ นี่คือเวลา 04.30 น.นะคะ  ลงแท็กซี่ปุ๊บ  คุณลุง รปภ.ยิ้มกว้าง เข้ามาทักทายเป็นภาษาอังกฤษว่า  "Good morning..Sorry we are closed.  Please come back tomorrow at 3 o'clock"  

คุณพระ..ตกใจ  แต่ไม่แปลกใจ  เพราะชิอากิบอกไว้แล้วว่า สถานการณ์นี้อาจะเกิดขึ้นได้ โดยมากพวกทัวร์จะเหมาที่ไปหมด  ฮะฮะ..แต่ลุงกับป้าคงไม่กลับมาตอนตีสามพรุ่งนี้หรอกนะคะ

สิ่งที่ประทับใจที่สุด ณ จุดนี้คือ  คุณลุงรปภ.ท่านนี้นั่นเอง  เชื่อหรือไม่ว่า ท่านพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก  พอเห็นว่าเราสองคนไม่ได้เข้าไปดูการประมูลปลาแล้ว ท่านก็เอาแผนที่ของบริเวณตลาดปลามา แล้วอธิบายให้เราฟังใหญ่เลยนะ  ว่า "ไม่เป็นไร  คุณไม่ได้เข้าไปดูการประมูล  แต่คุณไปดูรอบ ๆ บริเวณนี้ได้นะ  มีร้านค้ามากมาย  และไปทานปลาสด ๆ เป็นอาหารเช้าได้"  คุณลุง รปภ.สุดยอดอ่ะค่ะ  รักคุณลุง...



ตึกสีเหลืองสี่ล่ะค่ะ คือที่มีการประมูลปลา



ตกลงเราก็ถือแผนที่และเดินไปตามที่คุณลุงบอก  สิ่งที่เห็นวิ่งไปวิ่งมาตลอดคือพาหนะชนิดนี้ค่ะ  มันเหมาะมากทีเดียวกับตลาดปลาแบบนี้ คนขับยืนอย่างเดียว คงไม่ต้องนั่งเพราะขับไประยะใกล้ๆ แถมรถยังขนของได้มาก ท่าทางแข็งแรงทนทานดีด้วย  แต่เดินก็ต้องดูดี ๆ เลยนะคะ เพราะรถเค้าวิ่งไม่เกรงใจคนเดินถนนเลยล่ะค่ะ


















เจอเจ้าเครื่องนี้ คงต้องขอใช้บริการกาแฟหน่อยล่ะ  เพราะตื่นเช้าเกิ๊นนน


ซึกิชิใช่จะมีแต่ตลาดปลาอย่างเดียวนะคะ น่าสนใจมาก เพราะข้างในมีตลาดดอกไม้ด้วยค่ะ คล้ายปากคลองตลาดบ้านเรา แต่ตลาดดอกไม้จะเปิดสายหน่อย ตอนนี้เพิ่งมีดอกไม้มาลงเอง



แต่ที่สำคัญค่ะ ร้านค้าที่อยู่รอบ ๆ ตลาดปลา ล้วนเป็นร้านขายอุปกรณ์ต่อพ่วงของปลาดิบกับข้าวปั้นทั้งสิ้น  เรามาดูกันนะคะว่ามีร้านขายอะไรบ้าง  เริ่มที่ร้านนี้ ขายพวกผักดอง กิมจิค่ะ กินแก้เลี่ยน



ผักดองอีกร้าน



หน่อไม้สารพัดชนิด  มันฝรั่ง



ร้านนี้เอาอาหารทะเลมาแปรรูปให้พร้อมปรุงมากขึ้น



ร้านนี้ขายปลาที่แล่แล้ว ใส่ถุงสูญญากาศไว้



ร้านนี้ขายพวกเครื่องเทศและเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่เป็นผง



มองเผิน ๆ เหมือนร้านหนังสือเลยค่ะ



มีที่ให้แอ็คท่าถ่ายรูปด้วยค่ะ






เดินมาถึงโซนร้านอาหารแล้ว  ซาชิมิน่ากินทั้งนั้นเลย มีหลายร้านมากนะคะ แต่ละร้านพร้อมรับนักท่องเที่ยวหมด เพราะมีเมนูภาษาอังกฤษด้วย  แต่ชรอยนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาจะเอาเปรียบเค้ามาก แต่ละร้านเลยมีข้อกำหนดเลยว่า ลูกค้าทุกคนที่เข้ามา จะต้องสั่งอาหารอย่างน้อยหนึ่งอย่าง  จะเข้ามาเป็นกรุ๊ปแล้วสั่งอาหารแค่อย่างเดียวไม่ได้  เราเลยเดินดูไปเรื่อย ๆ ก่อน



เดินมาถึงร้านนี้  คุณชายเธอชอบมาก เป็นร้านขายอุปกรณ์ชงชาและดื่มชาค่ะ  พวกกาชา ถ้วยชาต่าง ๆ  ได้มา 2 ใบ










จานขนมรูปภูเขาฟูจี มีเงาสะท้อนลงในน้ำ  น่ารักมากค่ะ



คล้ายเบญจรงค์ของไทยเลยค่ะ



ร้านนี้ขายอุปกรณ์ที่ทำจากไม้บางๆ เช่น ตะเกียบ ไม้ทำกล่องเบนโตะ



ร้านนี้ขายพวกผักต่าง ๆ ที่เอาไว้ทานเป็นเครื่องเคียง





ร้านโซนนี้เริ่มนำอาหารทะเลที่ประมูลได้มาแบ่งขายปลีกแล้วค่ะ




ร้านนี้ขายไข่หวาน  ซึ่งขณะนี้กลายเป็น "อุตสาหกรรม" ผลิตไข่หวานไปแล้ว  เพราะจริง ๆ ไข่หวานต้องทอดไข่เป็นแผ่นบาง  ๆ คล้ายเครป แล้วนำมาม้วน  แต่ร้านแถว ๆ นี้มีนวัตกรรมทอดไข่เป็น block เลยค่ะ  ทอดแล้วโขกออกมาเป็นแท่งเลย  ลองดูภาพกันสิคะ







เดินต่อมาเรื่อย ๆ  แถบนี้เรียกว่าเป็นโซนร้านฟาสฟู้ดเลยค่ะ  เพราะนั่งทานได้ไม่กี่ที่ นั่งหน้าร้านเลย ได้ฟีลดีค่ะ




มีร้านค้าแทรกเป็นระยะ ๆ  ร้านนี้ขายรองเท้าบู้ทสำหรับใส่ในตลาดปลา ใส่ในครัว และรองเท้าเกี๊ยะ คงเอาไว้ให้พนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารใส่กระมัง



เดินผ่านที่ทิ้งขยะของเค้า  ขยะที่มีมากก็คงหนีไม่พ้นเปลือกหอยชนิดต่าง ๆ ค่ะ



ร้านฟาสฟู้ดส์ญี่ปุ่น



ร้านเล็กนิดเดียวเองค่ะ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เห็นมั๊ยคะ เค้าไม่มีเก้าอี้ให้นั่งค่ะ  ให้ยืนกิน  เพราะแต่ละคนก็คงกินไม่นาน กินเสร็จแล้วก็ไปได้เลย  สังเกตแต่ละคนก็จะมีอาหาร 1 ชาม แล้วก็น้ำชาหรือกาแฟอีกแก้วนึง  ก็สะดวก กระชับดีนะคะ



ร้านนี้ขายมีดทุกชนิด  และเลื่อยค่ะ  (โห..อาหารทะเลนี่ต้องใช้เลื่อยเลยนะคะ)



นี่คือโซนฟาสฟู้ดส์ของเค้าค่ะ





เช้านี้บิ๊กไม่ได้กินซาชิมิกับเค้าหรอกค่ะ เพราะดูแล้วอยากนั่งฟาสฟู้ดส์มากกว่า เลยเลือกร้านนี้ค่ะ  เพราะโอจิจังเจ้าของร้านดูใจดี  บิ๊กทานบะหมี่ชาชูเมนค่ะ  รู้สึกดีมาก เพราะอากาศหนาวใช้ได้ พอได้ซดบะหมี่ร้อน ๆ แล้วอุ่นดีค่ะ



ร้านนี้ขายข้าวปั้นสารพัดอย่าง





ร้านนี้ขายมายองเนสและน้ำสลัดสารพัดรูปแบบ  คำนวนแล้ว ราคาถูกกว่าไทยหน่อย แต่ถ้าต้องขนกลับไปหนักๆ คงไม่คุ้ม เลยไม่ได้สอยมา



อู้ววววว.... ปูขนค่ะ  ตัวใหญ่มาก  ลองเทียนกับตัวคนขายดูสิคะ









ข้าง ๆ ร้านขายปูขนเป็นร้านซาชิมิที่คุณชายเธอเลือกที่จะลองชิม แต่บิ๊กทานแล้ว ถ้าเข้าแล้วไม่สั่งก็ไม่ได้ ก็เลยนัดแนะกับคุณชายว่า  เสร็จแล้วให้ไปเจอกันที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้า  แล้วบิีกก็เดินเที่ยวไปเรื่อย ๆ

ตรงป้ายรถเมล์นั้นแลดูคึกคัก  มันมีอะไรหนอ  ...  อ๋อ..มันคือสถานที่ "หย่อนใจ" คงคนที่ทำงานในตลาดปลาค่ะ  มีที่นั่งทั้งโต๊ะและเก้าอี้ ที่สำคัญมีตู้กดเครื่องดื่มเยอะมาก และแน่นอนค่ะ..เครื่องดื่มที่ขายส่วนใหญ่คือ "กาแฟ" คงไม่แปลกใจนะคะว่าทำไมถึงมีกาแฟขายเยอะ  ก็ขนาดมาตีสี่ยังช้าไป คิดดูแล้วกันว่าคนที่นี่จะเริ่มงานกันตั้งแต่กี่โมง



มีห้องน้ำให้เข้า  และเป็นออฟฟิสด้วยส่วนหนึ่ง



บิ๊กออกมานั่งรถคุณชายที่ป้ายรถเมล์ ดูคนเดินไปเดินมา คึกคักมากขึ้นแล้ว เพราะตอนนี้ประมาณ 7 โมงแล้วค่ะ สังเกตได้เลยว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งนั้นเลยค่ะ



เปลือกหอยเต็มเลย


นั่งรอสักพัก คุณชายก็อิ่มแล้ว จึงเดินมาสมทบ  เราเดินดูตลาดกันจนรอบ ได้เวลาประมาณ 7.30 น. เราก็กลับมาเรียกแท็กซี่ฝั่งตรงข้ามทางเข้าตลาดปลา กลับไปคอนโดชิอากิกัน  ค่าโดยสารเกือบเท่าเดิมเลยค่ะ  และที่สำคัญ เวลา 7.30 น. นี่..ถ้าเป็นเมืองไทยคงรถติดชมัดยาด  แต่ที่โตเกียว..รถโล่งมากเลยค่ะ  เพราะคนขึ้นรถไฟกันหมด  บิ๊กชื่นชมมากเลยค่ะ

กลับมาถึงคอนโดชิอากิเกือบแปดโมง  เล่าให้เพื่อนฟังว่าไปไม่ทันหรอก  เค้าให้กลับไปอีกตอนตีสามพรุ่งนี้  เพื่อนหัวเราะใหญ่   วันนี้ชิอากิอุตส่าห์ลางานจะพาเราเที่ยวอีกวัน  แต่เจ้าลูกชายตัวน้อย หนูมากิ คง Sense ได้ว่า แม่ไม่ไปทำงาน  เลยทำท่าโยเยอยากจะไปด้วย  Makki likes Oji jan, we know.  He wanted to be with Oji jan.  คุณแม่กับคุณลูกเค้าก็เลยตกลงกัน ว่าถ้าจะไปด้วยต้องเป็นเด็กดี ไม่งอแง  หนูมากิรับปากด้วยดี

วันนี้ชิอากิจะพาเราไปวัดอาซากูสะ และย่านช้อปปิ้ง Ginza  แต่คราวนี้ไปเดินในห้างกันดูบ้าง อันนี้ถูกใจป้ามาก  ตามประสาผู้หญิง ชอบเดินห้างค่ะ

ก่อนออกจากบ้านเพื่อน  เพื่อนน่ารักมาก เป็นห่วงว่าพรุ่งนี้เราจะกลับยังไง  จะไปนาริตะยังไง  เพื่อนเลยแนะนำและจองตั๋วให้เสร็จ  จากทางเลือกหลาย ๆ ทาง เราตกลงจะลองเดินทางไปสนามบินโดยรถบัสกันบ้าง  เพราะสัมภาระเราไม่เยอะ  เราตัดสินใจเลือกบริการรถบัสที่เรียกว่า Access Narita  ซึ่งชิอากิก็จองผ่านเว็บให้เรียบร้อย  พร้อมนัดแนะเราอย่างดีว่าไปขึ้นรถที่ไหน  วันนี้เราจะไป Ginza กัน ชิอากิก็จะพาไปดูที่ขึ้นรถด้วย  ค่อยอุ่นใจหน่อย   นี่คือแผนที่ของ Access Narita ค่ะ




เสร็จสรรพเรียบร้อย ลุงกับป้าก็เก็บของออกจากบ้านชิอากิ  รู้สึกใจหายเล็กน้อย  เหลือเวลาอยู่กับเพื่อนอีกไม่นานแล้ว

วิวที่เห็นนี้เดินจากคอนโดชิอากิไปสถานี Kiba ค่ะ  หนูน้อยมากิวิ่งนำหน้าไปไกลเลย  ชิอากิแอบมากระซิบว่า  หนูน้อยมาถามแม่ว่า จะเด็ดดอกไม้อะไรให้ป้าบิ๊กดี  อิ๊อิ๊ .. ป้าแอบปลื้มใจนะเนี่ย
Maki asked her mother what flowers he should pick for Oba san.  How nice of you, Maki.






ในคลองที่เห็นนี้  ชิอากิบอกว่า  ในบางเดือน มีแมงกะพรุนเข้ามาจากทะเลด้วย  เลยเล่าให้เค้าฟังว่า ที่เมืองไทย เราใส่แมงกะพรุนลงไปในสุกี้ยากี้ด้วยนะ  เพื่อนได้ยินเข้าทำตาโต..อ้าปากค้าง  อุทานว่า  "No Way" เราเลยบอกเค้าว่า มันเป็น Sukiyaki with mutation น่ะ




ลุงกับหลานน่ารักกันจริง ๆ  อดถ่ายรูปไว้ไม่ได้



เอาล่ะ...ในที่สุดก็มาถึงแล้วจ้า  วัดอาซากุสะ  หนึ่งในแลนด์มาร์กของประเทศญี่ปุ่น นั่นคือโคมไฟสีแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดที่เหล่าโชกุนและซามูไรเลื่อมใสศรัทธามาก ผ่านประตูโคมแดงเข้าไปเป็นร้านค้าของที่ระลึกยาวตลอดสองฝั่ง มีทั้งพวงกุญแจ ตุ๊กตาแมวกวัก ดาบซามูไร ชุดกิโมโน หาซื้อของฝากให้คนทางบ้าน ก่อนจะเข้าไปนมัสการองค์เจ้าแม่กวนอิมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด






เดาจากรูปปั้นน่าจะเป็นเห้งเจีย  ได้เล่าให้ชิอากิฟังถึงตำนานพระถังซำจั๋งกับเห้งเจีย  ชิอากิบอก "อ๋อ ๆ  เคยได้ยินเหมือนกัน"








กว่าจะถึงตัววิหาร  เดินผ่านร้านค้าอีกมากมายทีเดียว




ซ้ำยังผ่านมุมดี  ที่มองไปเห็นโตเกียวทาวเวอร์อีกด้วย




ลุงกับป้าถ่ายรูปกันหน่อย





และที่สำคัญ  ต้องถ่ายรูปกับเพื่อนด้วย  ไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้เจอกัน 23 ปีเอง  ต่างคนก็มีชีวิตที่น่าสนใจไปคนละแบบ

Taking photos with my friend.  Believe it or not, it has been 23 years since we last met.  We both live different lives but always think of each other.  How wonderful is that?



Let Tokyo Tower be our witness of friendship.



ตลอดทางจะมีร้านขายขนมให้ได้ดูเพลินตามาก  นี่เป็นนโยบายทางการตลาดที่ดีมาก  คือยกส่วนครัวมาอยู่หน้าร้าน ให้เห็นการผลิต และให้กลิ่นหอมโชยไปยั่วน้ำลายลูกค้าด้วย แถมทำขนมให้มีรูปร่างหน้าตาน่ารัก  ขายดิบขายดีทีเดียว  คิดว่าขนมไทยก็มีกระบวนการทำที่น่ามหัศจรรย์อยู่มาก  ถ้ายกส่วนครัวมาอยู่หน้าร้าน และใส่ Story เข้าไปหน่อย  น่าจะขายได้ระเบิดเช่นกัน





อันนี้เป็นนิทรรศการก่อนเข้าวัด  ชิอากิบอกว่า เป็นตำนานของเทพ  คล้าย ๆ แปดเซียน ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดนี้ค่ะ



หลานเริ่มง่วงแล้วล่ะสิ  โอจิจังเลยต้องอุ้มแล้ว






นี่คือส่วนที่จะเข้าตัววิหารกันแล้วค่ะ








ชุมชนแถวนี้ ในสมัยโบราณเป็นแหล่งผลิตรองเท้าฟาง  จึงมีการทำรองเท้าฟางใหญ่พิเศษไว้ เพื่อระลึกถึงประวัติศาสตร์ของชุมชน



นี่คือส่วนของเซียมซี อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ถ้าดีให้เอากลับบ้าน  ถ้าไม่ดีให้ผูกไว้ที่ราวสีแดงนี้  ความเชื่อคล้ายของไทยเลยค่ะ



นี่คือเตาจุดธูปค่ะ  ไร้มลพิษและปลอดภัยดี  เอาธูปจิ้มไปตรงกลาง เดี๋ยวไฟมันจะลุกติดธูปเองค่ะ





อ่างน้ำล้างมือและบ้วนปาก




นี่คือองค์เทพในวิหารค่ะ



ไหว้ขอพรเสร็จ  ออกมาอีกด้านหนึ่งมีถังสาเกเต็มเลยค่ะ



รูปปั้นที่สร้างอุทิศให้เด็กที่เสียชีวิต เศร้าจังค่ะ



เดินต่อมาเรื่อย ๆ สะดุดตากับร้านนี้ เพราะคนมุงหน้าร้นเต็มไปหมดเลย  คิวยาวค่ะ  ไอติมนั่นเอง





ผ่านร้านขายขนมน่ารักๆ  อีกแล้ว






และแล้วก็เที่ยงพอดี  ชิอากิถามว่าเราอยากกินอะไร  ปรากฎว่าเราก็กินไปหมดทุกอย่างแล้ว  ชิอากิเลยพาไปทาน บุฟเฟต์ญี่ปุ่น  ก็เลยได้เห็นที่ ๆ คนญี่ปุ่นไปทานบุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่นกัน





จริง ๆ แล้วอาหารญี่ปุ่นมีผักกเยอะมากนะ  แต่ส่วนมากพอนึกถึงอาหารชูโรงก็ต้องเนื้อสัตว์เอาไว้ก่อนเลย   มาญี่ปุ่น 10 วันนี่ก็ติดการกินมังฯ เอาไว้ก่อนนะ  เพราะถ้าต้องกินมังฯ ที่นี่จริง ๆ ก็ลำบากเหมือนกัน เดี๋ยวกลับเมืองไทยแล้วค่อยกินชดเชยค่ะ

ออกจากห้างมาแล้ว เจอรูปปั้นสิงโต  มากิน้อยชอบใหญ่เลย  ปีนป่ายไม่ยอมลง










เดินผ่านสถานีรถไฟ ตอนนี้ประมาณเกือบบ่ายโมง  ยังมีพระมายืนบิณฑบาตอยู่  ชิอากิบอกว่า พระที่ญี่ปุ่นยืนขอ donation ไ้ด้ตลอดวันค่ะ





ชิอากิพาเดินดูห้างแล้วค่ะตอนนี้  ประทับใจตู้ขนมเค้ามากเลย  ยังกะตู้เครื่องเพชรแน่ะ  อลังการมากค่ะ ดูสิคะ  เค้าให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาของขนมและหีบห่อมากเลยค่ะ







เดินออกมาเจอตึกซึ่งมีโฆษณาบริษัท Ricoh ของคุณสามีอยู่ข้างหลัง  ต้องถ่ายรูปไว้เสียหน่อย  อิอิ




เสื้่อผ้าสวยจังเลยอ่ะ



ชิอากิพามาดูป้ายรถเมล์ที่ต้องมาขึ้นรถไปสนามบิน  จำได้ไหมคะ เราเลือกใช้บริการรถบัสของบริษัท Access Narita  ชิอากิดีมาก  เข้าใจเรามาก  เธอพาเราเดินจากป้ายรถเมล์ไปหาสถานี JR ที่ใกล้ที่สุด  และบอกเราว่า Exit ไหน  (คงกลัวเราหลงทาง)  สรุปคือพรุ่งนี้จากบ้านพี่จูน ต้องมาสายสีเขียว ลงสถานี Yurakucho นะคะ ออก Central exit ค่ะ  แล้วเดินไปตรงตึกที่เค้าออกรางวัลล็อตเตอรี่กันอ่ะค่ะ  ป้ายอยู่หน้าตึกนั้นเลย  เดินง่ายค่ะ

และแล้วก็เป็นเวลาประมาณบ่ายสอง  ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง... นั่นคือการต้องบอกลาเพื่อนชิอากิแล้วสินะ  เพราะเย็นนี้เรามีนัดที่จะทานอาหารที่ร้าน Thani Kitchen กับพี่จูน ตุ๊รงค์ และเพื่อน

นี่คือสิ่งที่ทำยากที่สุดในทริปนี้ แม้ทำใจตั้งแต่เช้าแล้วแต่ก็ยังเศร้าอยู่ดี  ร้องห่มร้องไห้กันไปทั้งสองคน  โชคดีที่มากิน้อยกลับในเป้ข้างหลังแม่  ไม่งั้น คงร้องไห้คิดถึงโอจิจังแน่เลย
As someone once said "Goodbye must be quick", but I could not do it.  Finally came the time to say goodbye and it was hard.  Once again Chiaki, I will be seeing you.  Luckily Makki is asleep otherwise he would cry for Ojijan.  Thank you for having us into your life.  We will be remembering Japan as one of your family member.

หลังน้ำตาแห้งแล้วก็ต้องจากกันในที่สุด  เรานั่งรถไฟกลับมาสถานี Omori  แวะร้านไดโซ ซื้อถุง Vacuum มาเพื่อแพ็คของกลับ (หวังว่าคงเอากลับได้ทุกอย่างนะ ของมันฟูขึ้นมาได้ไงไม่รู้  อิอิ)  มีเวลาอีกประมาณ 2 ชม.  ตุ๊รงค์และเพื่อนจะมาดินเนอร์ที่นี่  คงจะได้มีโอกาสคุยกับพี่จูนและโอโต้ซังก็วันนี้เอง

Thani Kitchen อร่อยสมการรอคอยค่ะ  เราได้ชิมแหนมที่เราเห็นว่าร้านพี่จูนหมักเองตั้งแต่วันแรกที่มาถึง

ณ เวลา 18.30 น. ตุ๊รงค์และเพื่อนชื่อ Atsushi Yamaguchi  ก็มาถึงร้านพี่จูน  ไม่นานพี่จูนก็ตามมาสมทบ  การสนทนาในวันนี้จึงเป็นการเรียนรู้อัตชีวประวัติที่น่าสนใจของโอโต้ซังและพี่จูน  พร้อมข้อคิดดี ๆ มากมาย  ได้ให้กำลังใจอัตสิชิ เพื่อนของตุ๊รงค์ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่นรุ่นใหม่  และในที่สุดก็เป็นการแชร์ประสบการณ์ต่างวัฒนธรรมที่แต่ละคนได้พบเจอมา  จบอาหารมื้อค่ำด้วยความอิ่มอร่อย  เรียกว่าได้ทั้งอาหารท้องและอาหารสมอง  ประทับใจกับสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโอโต้ซัง พี่จูน ตุ๊รงค์และอัตสึชิ  ทำให้บิ๊กกับปริ๊นซ์รักและประทับใจญี่ปุ่นมาก ๆ ค่ะ  เหมือนมีครอบครัวอยู่ที่นี่เลย   ขอเก็บภาพความประทับใจกับทุก  ๆคน ที่ร้าน Thani Kitchen ค่ะ

กับพี่จูนและโอโต้ซัง




ตุ๊รงค์กับอัตสึชิ










ลุงกับป้าอิ่มใจในความเมตตาและมิตรภาพที่ได้รับจากทุกคนตลอดทริป  ทำให้มีกำลังใจเก็บของอีกจนถึงเที่ยงคืน  หลับไปแบบอมยิ้มมมมม...

เช้าแล้วค่ะ...นี่คือวิวเช้าวันสุดท้ายจากบ้านพี่จูน  แสงแดดสีทองพร้อมส่งเรากลับบ้าน





เราออกไปทานอาหารเช้ากันที่สถานีเหมือนเดิม  พร้อมเดินเล่นรอบ ๆ สถานีสักหน่อย  พอไดโซเปิดก็เข้าไปซื้อถูก vacuum เพิ่มอีก เพราะเมื่อวานซื้อมา ใบเล็กเกินไป  หลังได้ของเรียบร้อยก็กลับมาแพ็คของ ทำความสะอาดห้องให้พี่จูน  ขนของลงมาประมาณ 11 โมง  โอโต้ซังรออยู่ พร้อมขับรถไปส่งที่สถานีให้  แถมยังซื้อตั๋วให้อีก  หนูทั้งสองคนขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะ   โอโต้ซังยืนส่งเราสองคนจนลับตาไปเลย  ท่านเมตตามากจริง ๆ

จาก Thani Kitchen และสถานีโอโมริที่คุ้นเคยมาด้วยความรู้สึกตื้นตัน  มุ่งหน้าสู่สถานี Yurakucho  ต้องมีการเปลี่ยนจากสายสีฟ้าเป็นสีเขียว มีการถามทางเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็มาถึง   และจากการที่ชิอากิฝึกมาอย่างดีเราก็เดินดุ่ม ๆ ไปยังป้ายรถบัสของ Narita access ได้เลย  แต่ยังมีเวลาอีกมาก  ด้านหลังป้ายรถบัสเป็นห้างใหญ๋ เราจึงขึ้นไปหาอาหารกลางวันกินก่อน  นี่คืออาหารมื้่อสุดท้ายในโตเกียวค่ะ

ขณะทานอาหาร ชิอากิส่งข้อความมาบอกว่า ตอนแรกจะมาส่งขึ้นบัส





แต่คงมาไม่ได้แล้ว ขอให้เราโชคดี

เราว่าเป็นมุกของเพื่อนแน่เลย  บัสออก 13.30 น. , ตอน 13.15  ลุงกับป้าก็ไปรอคิวเตรียมขึ้นรถแล้ว  Surprise... ชิอากิวิ่งกระหืดกระหอบมาเลย  ในมือหอบ "โตเกียวบานาน่า" มาฝากเราด้วยอ่ะ  เพื่อนน่ารักจนถึงนาทีสุดท้ายจริง ๆ

เพื่อนยืนส่งเราจนรถบัสออก  แถมยังวิ่งตามรถบัสจนลับตาอีกด้วย  Thank you for what you have done.  We were so touched and moved.




หลังจากเศร้าสักระยะหนึ่ง  ป้าก็เริ่มสนใจโตเกียวบานาน่า  และได้ชิมไปครึ่งกล่อง!!!!  อร่อยจริง ๆ ค่า  สมคำร่ำลือ  (มันจะเหลือถึงเมืองไทยมั๊ยอ่ะ)



รถบัส Narita Access  เป็นที่น่าประทับใจมาก  เพราะรถออกตรงเวลา  

รูปข้างล่างนี้ถ่ายด้วยความประทับใจ เพราะลุงกับป้าได้นั่งที่นั่งติดคนขับเลย  ญี่ปุ่นใช้ทรัพยากรบุคคลของเขาได้คุ้มค่ามาก ๆ  คนขับนั้นทำทุกอย่าง ขับรถ ยกกระเป๋าเข้าใต้ท้องรถ เช็คชื่อผู้โดยสาร เก็บเงิน แล้วเมื่อรถออกก็ใส่ไมค์แบบครอบศีรษะ และใช้ไมค์นั้นคอยพูดต้อนรับผู้โดยสาร  คอยขานว่าป้ายต่อไปจะรับที่ไหน  อีกกี่นาทีถึง  ประทับใจมากค่ะ  ที่สำคัญ..ทั้งหมดนี้ทำด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม  น้ำเสียงอบอุ่นเป็นมิตรมากค่ะ








ภาพสุดท้ายก่อนลาจากโตเกียว



ขึ้นทางด่วนแล้ว มุ่งหน้าสนามบินนาริตะ  เห็นโตเกียวทาวเวอร์อยู่ลิบ ๆ  ลาก่อนนะจ๊ะ  



นับถอยหลังสู่การลาจากโตเกียว











ถึงแล้วค่ะ สนามบินนาริตะ  เห็นห้องสูบบุหรี่รอต้อนรับเราอยู่ด้านหน้าเลย  ชอบนะคะ  รมควันกันเอง ไม่ต้องเผื่อแผ่คนอื่น  



เครื่องบินของฉัน  จอดรออยู่แล้ว TG 677 ออก 17.30 น. ถึงไทยคืนนี้ ประมาณสี่ทุ่มครึ่งจ้า






โอจิจังยังคิดถึงฮาราจุกุ  ได้เข้าไปถอยหมวกทรงโกโบริมา 1 ใบ



เล้าจน์นั่งรอเครื่องบิน




มี Wifi ให้เล่นฟรี



ตัวอย่างการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าอย่างแท้จริง  มีมุมกางโน้ตบุ๊คทำงานได้ด้วย ปลั้กไฟพร้อมสำหรับทุกอุปกรณ์ต่อพ่วง



ระหว่างผู้ปกครองทำงาน ลูก ๆ ก็มีพื้นที่สำหรับเล่น








นี่คือภาพสุดท้ายก่อนขึ้นเครื่องนะคะ   ไฟลท์ขากลับเรียบร้อย ถึงกรุงเทพตรงเวลา ลุงกับป้าแสนประทับใจกับทริปญี่ปุ่นครั้งนี้  ขอขอบคุณพี่จูน, โอโต้ซังซูซุมุ, เพื่อน Chiaki, Masa, Makki, เพื่อนตุ๊รงค์ ที่ทำให้ทริปนี้แสนประทับใจ, คุณ admin แห่ง emagtravel ที่ให้แสงสว่างส่องการเดินทางทุก ๆ วัน

ขอฝากทริปนี้ไว้เป็น jigsaw ตัวหนึ่งในการเดินทางแห่งชีวิต  ในช่วงเวลาที่เหลือก็จะพยายามหา jigsaw ตัวอื่น ๆ มาเติมเต็มให้ถนนแห่งการเดินทางนี้มีสีสันให้มากที่สุด  และสุดท้าย...หวังว่าผู้อ่านทุกท่านก็จะได้รับความสนุกสนานและบันเทิงไปกับโอจิจังและโอบะซังด้วยนะคะ

จนกว่าจะพบกันใหม่ในทริปหน้า ซึ่งจะเป็นที่ไหนนั้น  บิ๊กก็ยังไม่รู้เหมือนกัน  โลกกว้างใหญ่..รอเราออกไปพบ..จริง ๆ นะคะ...



No comments:

Post a Comment