Wednesday, May 21, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นเอง 10 วัน : วันที่ 1 สุวรรณภูมิ-นาริตะ และวันที่ 2 โตเกียว-โอซาก้า


สวัสดีค่ะมิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน   บิ๊กห่างหายจากการเขียนบล็อคนำเที่ยวมานานมาก  อันที่จริงไปเที่ยวไกลๆ  มามากมายหลายที่เลยค่ะ  แต่ยังไม่ได้เขียนเล่าให้ฟังเสียที  ยังไงก็ติดไว้ก่อนนะคะ  ขอข้ามมาญี่ปุ่นก่อนเลยก็แล้วกันค่ะ  

อันว่าญี่ปุ่นนั้น เป็นจุดหมายปลายทางที่ดิฉันอยากไปเยือนมาแสนนาน ด้วยความประทับใจที่มีเพื่อนสมัยเป็นเด็ก AFS ไปอยู่ออสเตรเลียเมื่อปี 1990 (จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไป)  บิีกก็มีเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สนิทด้วยเป็นชาวญี่ปุ่น ชื่อ Chiaki ชิอากิค่ะ เลยทำให้ฝังใจกับญี่ปุ่นตั้งแต่บัดเดี๋ยวนั้นเป็นต้นมา   บัดนี้ได้เวลาอันควร เนื่องจากการไปญี่ปุ่นสะดวกขึ้นมาก และเราก็เริ่มมีเวลา มีเงิน และยังพอมีแรง ก็ควรเที่ยวได้แล้วแหล่ะ  นานไปกว่านี้ เรี่ยวแรงอาจหมด อดเที่ยวได้

ความตั้งใจไปญี่ปุ่นนั้น ก็เงื้อง่ามานานสองปีแล้ว เห็นได้จากการซื้อเงินเยนเก็บไว้ตั้งแต่ตอนที่มันถูก ๆ เลยทีเดียว  แต่คุณสามีก็ลางานไม่ได้นานเกิน 3 วันสักที  จะไปทั้งที มันต้อง 10 วันอย่างนี้แหล่ะ ถึงจะจุใจ  ปี 2557 นี้ได้ฤกษ์ดี ทุกอย่างพร้อม ก็ได้ลั้นลากันล่ะค่ะคุณผู้ชม

ก่อนอื่น..ถ้าเป็นรายการโทรทัศน์ก็ต้องขอบคุณสปอนเซอร์ผู้ใจดี ทีทำให้ 10 วันในญี่ปุ่นของบิ๊กและสามีสุดที่รักมีความหมายและมีค่าในความทรงจำอย่างมากนะคะ  ผู้มีอุปการะคุณ 5 ท่านได้แก่
   1. พี่จูน- คุณ Klangjai Jitsutani และสามีชาวญี่ปุ่น  เจ้าของร้านอาหารไทย Thani Kitchen ในโตเกียว พี่จูนเมตตาให้ที่พักแด่น้องผู้หิวโหยในโตเกียวตลอด 5 คืนสุดท้ายค่ะ
   2. เพื่อนจตุรงค์  - เพื่อนไทยได้สัญชาติญี่ปุ่น ที่ให้คำแนะนำเรื่องการท่องเที่ยว คอยห่วงใย ดูแลเทคแคร์อย่างดีทั้งทางตรงและทางอ้อม  "ชั้นรู้จักญี่ปุ่นดีขึ้นก็เพราะเธอจ้ะ"
   3. เพื่อนชิอากิ ไคโฮ, สามีของเธอชื่อ มาซาฟูมิ, และลูกน้อยหนูมากิ  แม้เราจะได้เจอกันครั้งสุดท้ายคือเมื่อ 24 ปีที่แล้ว  แต่มิตรภาพที่แท้จริงไม่เลือนหาย หากเรายังใส่ใจที่จะติดต่อซึ่งกันและกัน ชิอากิมาคอยดูแลบิ๊กอยู่เสมอ โทร.หาตลอดเวลาที่อยู่ญี่ปุ่น สามีก็คอยหาข้อมูลให้ตลอดเวลา  ส่วนลูกน้อยก็สนิทสนมกับลุงปริ๊นซ์เร็วมาก  รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวญี่ปุ่นเลยค่ะ
   4. เว็บไซต์ http://www.emagtravel.com/archive/japan-trip.html  บทความโดยคุณ admin  ขอกราบคารวะด้วยใจเลยค่ะ  ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ทำให้ลุงกับป้าทั้งสองคนเที่ยวตามได้โดยละเอียด และไม่หลงเลย  ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
  5. พี่โชค-พี่เปาที่ให้ยืมเสื้อหนาวทุกการเดินทางค่ะ

เวลาของทริปนี้คือ 30 เมษายน - 9 พฤษภาคม 2557 ค่ะ  เป็น 10 วันเต็มที่เที่ยวเต็มที่ อยากเที่ยวก็ไป เหนื่อยก็นอน  และที่ทุกท่านคงอยากทราบคือ ค่าใช้จ่ายนะคะ  รายงานเลยว่า ใช้ไปคนละ 66,xxx ค่ะ  นี่คือรวมทุกอย่าง ตั๋วบิน ที่พัก ซื้อของฝาก กินอาหารทุกมื้อ  (อันนี้คือคิดจากฐานที่พักบ้านพี่จูน 5 คืนนะคะ  ถ้าลองสมมติว่าเราพักโรงแรมเองดู  ก็จะอยู่ที่ 75,xxx ต่อคน)  คุุ้มมั๊ยละค่ะ ท่านผู้ชม

เอาล่ะค่ะ  อย่าเสียเวลา มาดูความลั้นลาของทริปเราเลยดีกว่า  ประเดิมด้วย A380 การบินไทย ไดเร็คไปนาริตะเลยค่ะ  เครื่องใหม่จริงอะไรจริง  ขึ้นลงแทบไม่รู้สึกเลย   TG 676  ออกเจ็ดโมงกว่า ๆ





แลนดิ้งแล้วจ้า...นาริตะแอร์พอร์ต  การไปเที่ยวเองและที่ยวนอกฤดูท่องเที่ยวให้ความเงียบสงบอย่างน่าประหลาด นี่ถ้าไปกับทัวร์ล่ะก็ พอเครื่องลงก็เหมือนผึ้งแตกรังกันแล้ว  เดินมารับกระเป๋าคนน้อยมาก ดูสิคะ   การใช้ทางเลื่อนและบันไดเลื่อนของชาวญี่ปุ่นมีวินัยตรงเป๊ะ นั่นคือใครจะยืนนิ่งต้องชิดซ้ายเท่านั้น เปิดโอกาสให้คนที่รีบใช้ช่องขวามือเพื่อเดินไปได้  เยี่ยมมาก ๆ ค่ะ



เริ่มเปิดโทรศัพท์ก็เจอเหตุการณ์ชวนสะพรึงซะแล้ว คือบริการโรมมิ่งที่เปิดมาจากไทย ไม่ทำงานค่ะ  แล้วชั้นจะติดต่อเพื่อนยังไงล่ะทีนี้   แต่นี่สเน่ห์ของการมาเที่ยวเองค่ะ เพราะคุณต้องคิด ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลา และทำให้เราได้เรียนรู้ทาเงลือกต่าง ๆ   ครั้งนี้ทำให้เราได้รู้ว่า เราสามารถเช่าโทรศัพท์ที่สนามบินได้หลากหลายแบบมากเลยค่ะ  บิ๊กเลือกเช่าแพ็คเกจถูกที่สุด คือโทร.เข้าออกในประเทศได้อย่างเดียว ดีเสียอีกค่ะ..เพราะเวลารับสายไม่ต้องเสียตังค์  นี่ถ้าโรมมิ่งรับสายก็ต้องเสียตังค์ด้วยนะเออ  อ่ะ...มีโทรศัพท์แล้วค่อยอุ่นใจ

บิ๊กกับคุณสามีได้ซื้อ JR Rail Pass ไว้แล้วจากเมืองไทย สนนราคาเก้าพันกว่าบาทเท่านั้น ใช้ได้เจ็ดวันที่ญี่ปุ่น  นั่งรถไฟได้ Unlimited แต่ต้องเป็นรถไฟของบริษัท JR เท่านั้นนะคะ  รถไฟของญี่ปุ่นมีหลายบริษัทมาก ตั๋วที่เราได้จากเมืองไทยยังใช้ไม่ได้ค่ะ  ต้องนำไปเปลี่ยนเป็นรูปเล่มคล้ายพาสปอร์ต  โดยเปลี่ยนได้ที่ออฟฟิสของ JR ที่สนามบินนาริตะค่ะ  เล่มนี้ต้องนำติดตัวไว้เสมอนะคะ  และเวลาเข้าหรือออกสถานีรถไฟ  เราไม่ต้องเข้าช่องเหมือนคนอื่นเค้า  ให้เข้าช่องซ้ายสุดหรือขวาสุด เป็นช่องที่มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจน่ะค่ะ  เราแค่โชว์เล่มนี้ให้เขาดู เขาก็จะให้ผ่านไปอย่างสะดวกดาย  ปริ๊นซ์เรียกเล่มนี้ว่า "บัตรเบ่ง" ค่ะ

เราจึงเลือกที่จะเข้าโตเกียวโดยการนั่งรถไฟ Narita Express ค่ะ  เพราะเป็นของบริษัท JR  เราก็จองตอนไปรับเล่ม JR นั่นเอง เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีค่ะ   นี่คือหน้าตาของ  Narita Express



ด้านหลังนั่นคือพื้นที่ล็อคกระเป๋าเดินทางค่ะ  เพราะทุกคนที่ขึ้น NEX มีกระเป๋าเดินทางแน่นอน


ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนะคะ  ระหว่างทางก็ชมวิวญี่ปุ่นไปค่ะ












ข้าง ๆ เป็นครอบครัวนี้  เค้าเห็นเรากางแผนที่ เค้าก็ชวนคุยด้วยค่ะ ว่ามาจากไหน  ภรรยาพูดอังกฤษได้  เค้าแนะนำเรื่องการไปต่อรถไฟด้วยค่ะ


ระหว่างทางจะมีพนักงานเข็นรถมาขายเครื่องดื่มและของว่างตลอด  พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสมาก  และขอบกว่า ตลอดการเดินทาง พนักงานบริการญี่ปุ่นทุกคน มี Service mind มาก และยิ้มแย้มแจ่มใสตลอด (เอ..อาจจะมากกว่าพนักงานไทยก็ได้นะคะ  ... ว่าไป)




ถึงโตเกียวประมาณ 17.30 น.  ฝนตกค่ะคุณผู้ชม... เราพักโรงแรม Tokyo Ueno New Izu Hotel ราคาคืนละ 2,400 บาท  จองมาแล้วจากเมืองไทย  กะเหรี่ยงเวิ่นเว้อสองคนก็ทำการบ้านมาระดับนึงที่ว่า ลงจาก Narita express ที่สถานีโตเกียว แล้วต่อรถไฟสายสีเขียวหรือสายสีฟ้ามาสถานีอูเอโนได้อย่างปลอดภัยก็แล้วกัน ณ จุดนี้ภูมิใจไม่น้อย   แต่แล้ว...ประสบการณ์แรกของญี่ปุ่นก็ได้เริ่มต้นที่นี่ล่ะค่ะ  คือ เราหาทางไปโรงแรมไม่เจอค่ะ  แผนที่หรือวิธีไปมันไม่เห็นเหมือนกับที่เราหาข้อมูลมาจากทางเน็ทเลยอ่ะ  ก็ในเน็ทเค้าบอกอยู่ใกล้สถานีอูเอโน  ก็นี่อยู่อูเอโน่แล้วไง  ทำไมหาไม่เจอ   แต่ท่านผู้ชมคะ..ทางอยู่ที่ปากใช่มั๊ยคะ  เราก็ถามสิคะ  และที่นี่ เราได้ตระหนักแล้วว่า คนญี่ปุ่นพูดอังกฤษได้น้อยกว่าที่เราคาดไว้เยอะค่ะ   ไม่เป็นไร ..ภาษาเค้าไม่ได้  แต่ใจเค้าอยากช่วยเกินร้อย  เจ้าหน้าที่ที่สถานีรถไฟ วิ่งไปถามเพื่อน ๆ และหัวหน้าให้  แต่ไม่พบทางไปโรงแรม  พอเค้ารู้ว่าไม่มีคำตอบให้เรา  เค้าโค้งขอโทษจนหน้าผากแทบจะถึงหัวเข่า  ไม่ต้องเข้าใจภาษาหรอกค่ะ  ภาษากายนั่นแหล่ะสำคัญที่สุด เรารับรู้ได้ถึงความจริงใจของเค้าค่ะ  นี่คือภาพตรงจุดที่ยืนหลงทางอยู่สถานีอูเอโน




เอาไงล่ะทีนี้  เวลาล่วงไปเป็นหกโมงเย็น  หลงทาง, หิว  ทางแก้ปัญหาคงต้องแก้เรื่องหิวก่อน  จริง ๆ นัดกับพี่จูนกับชิอากิไว้ที่โรงแรม  แต่ทำไงอ่ะ หาทางไปโรงแรมไม่เจอ  แต่ถึงเจอทาง ก็ออกไปไม่ได้อีก เพราะฝนตก และหนาวมากด้วย    หลงทาง+หิว+ฝนตก+หนาว  นี่ถ้ามาคนเดียว บรรยากาศชวนร้องไห้มากเลยนะคะ  เลยโทร.หาพี่จูนกับชิอากิว่า  "หลงทางค่ะ ไปโรงแรมไม่ถูก  ทั้งสองท่านโปรดมารับเราออกไปจากสถานีด้วยเถิดค่าาาา"

จากนั้นเราก็เดินไปหาอะไรกิน  เข้าร้านญี่ปุ่นแท้ ๆ เป็นครั้งแรก  สั่งเมนูที่คุ้นเคยก่อนล่ะ  เทมปุระเค้าจะจิ้มกับผงชาเขียวนะคะ  



นั่งไปสักพักเริ่มอุ่นใจค่ะ  เพราะเพื่อนชิอากิมาหาบิ๊กจนเจอ  มาพร้อมลูกชาย 3 ขวบ  ชื่อ "มากิ" ค่ะ  ได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นคำแรก  "โอจิจัง"  แปลว่า "คุณลุง" ค่ะ  ส่วนบิ๊กกลายเป็น "โอบะซัง" แปลว่า "คุณป้า" ค่ะ  คือ...แบบว่า...มันฟังดูแก่กว่าคำว่า "คุณป้า" ในภาษาไทยไปมากทีเดียวอ่ะค่ะ   นี่ล่ะค่ะ..บิ๊กถึงตั้งชื่อบล็อคว่า โอจิจังกับโอบะซังเที่ยวญี่ปุ่นไงล่ะคะ

หนูมากิน้อยกับโอจิจัง



อยู่กับเพื่อนชิอากิได้สักพัก  พี่จูนก็ตามมาสมทบ  ค่อยอุ่นใจหน่อยค่ะ  เราค้างโตเกียวแค่คืนเดียว รุ่งขึ้นก็ไปโอซาก้าแล้ว ฝนตกและเริ่มมืด เลยตัดสินใจจะยกเลิกโรงแรมไปเลย แล้วขอไปค้างบ้านเพื่อนดีกว่า ตอนแรกไม่กล้าถามเค้า เพราะเพื่อนจตุรงค์เคยบอกไว้ว่า บ้านคนในโตเกียวพื้นที่จำกัด แถมเค้าก็มีครอบครัวอีก  แต่ในสถานการณ์นี้เค้าคงสงสาร เลยเสนอว่าไปพักบ้านเค้ามั๊ย  เราสองคนก็เลยตัดสินใจรับข้อเสนอทันที ยอมให้โรงแรมตัดมัดจำไปดีกว่า อุ่นใจกว่าเยอะค่ะ

เรากลับบ้านชิอากิกัน  ระหว่างทางยังคงต้องเดินฝ่าสายฝน แต่ความรู้สึกอุ่นใจต่างกันเยอะทีเดียวค่ะ  และแล้วก็มาถึง บ้านของชิอากิ  ถ้าเป็นที่เมืองไทยก็คือ คอนโดนั่นเอง  แต่ที่นี่นิยมเรียกกันว่า Mansion ค่ะ  พื้นที่เค้า 70 ตารางเมตร (แอบถามราคาแล้ว คิดเป็นเงินไทยคือประมาณ 11 ล้านค่ะ!!!!)  เค้ามีห้องสามห้อง  เลยจัดให้เราพักห้องนึงค่ะ  นอนได้สบาย ๆ





ห้องน้ำ




ห้องน้ำญี่ปุ่นที่สังเกตว่าขาดไม่ได้เลย คือ พัดลมดูดความชื้นค่ะ  ต้องเปิดไว้ตลอด เพราะห้องน้ำขึ้นราง่ายมาก  และที่ประตูเค้าจะมีหมวกกันน็อคจำนวนเท่าสมาชิกในบ้านด้วยค่ะ 




และนี่คือเพื่อนชิอากิกับสามี ดร.มาซาฟูมิค่ะ  ใจดีมาก ช่วยเหลือเราหาข้อมูลจนดึกดื่น เพราะเกรงว่า โอจิจังกับโอบะจังไปโอซาก้า เดี๋ยวจะหลงอีก (ฮา)  ภาพนี้ถ่ายตอนเช้าค่ะ  มาซาฟูมิออกจากบ้านไปทำงานตอน 06.30 น.  ก็เรียกว่าเช้าพอ ๆ กับคนกรุงเทพนั่นแหล่ะค่ะ



ส้วมญี่ปุ่น  คุณสามีเรียกบิ๊กไปถ่ายรูปไว้เลย เพราะช่างชาญฉลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจริง ๆ ก๊อกน้ำล้างมืออยู่ข้างบนโถเก็บน้ำชักโครกค่ะ ทันทีที่เรากดน้ำ น้ำจากกก๊อกก็จะไหลอัตโนมัติ และไหลลงไปในโถเก็บน้ำเลย เยี่ยมมากค่ะ



เราตื่นมาส่งมาซาฟูมิไปทำงานกัน แต่ตัดสินใจบอกชิอากิว่า เราคงไปขึ้นชินกันเซ็นด้วยแท็กซี่ดีกว่านะ เพราะเรามีสัมภาระ แล้วฝนก็ตกด้วย  ไปรถไฟคงทุลักทุเลพอสมควร  ทุกคนเห็นด้วย  แต่อากาศเป็นใจมาก พอสัก 7 โมงเช้า ฝนก็หยุดค่ะ  แต่เรายังคงทำตามแผนเดิม คือขึ้นแท็กซี่  ชิอากิจับมือบิ๊กแล้วบอกว่า "ตอนกลับมาโตเกียว มาพักกับเค้าอีกนะ  แค่บางคืนก็ยังดี"  ประทับใจเพื่อนมาก  เราออกจากคอนโดชิอากิกันค่ะ



แล้วก็มาขึ้นแท็กซี่เพื่อไปขึ้นชินกันเซ็นที่สถานีโตเกียว   แท็กซี่เค้าจะมีแผ่นพลาสติกกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสารด้วย ที่สำคัญ โฆษณาเพียบค่ะ



ถึงแล้วค่ะ!!!  สถานีชินกันเซ็น  ตื่นเต้นจังเลยอ่ะ  เราก็เข้าไปสถานีกัน  แล้วก็ไปจองที่นั่งชินกันเซ็น ไปลงสถานี "ชินโอซาก้า" ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่งค่ะ  ใช้คำว่าจองที่นั่ง ไม่ใช่ซื้อตั๋ว เพราะเราใช้สิทธิ์ JR Pass ได้อยู่แล้ว  เราขอที่นั่งทางขวามือ เพื่อระหว่างทางอาจได้เห็นภูเขาไฟฟูจิ แต่ที่นั่งขวามือเต็มแล้ว  ได้ซ้ายก็ไม่เป็นไร เราได้นั่งตู้หมายเลข 6 ค่ะ


ได้จองที่นั่งแล้วก็อุ่นใจ  เข้าไปชานชาลากันดีกว่า ที่นี่เค้าไปใช้คำว่า platform นะคะ  แต่ใช้คำว่า track แทนค่ะ




รรมเนียมการขึ้นชินคันเซ็นนั้น  เมื่อได้ที่นั่งแล้วก็ต้องไปหาซื้อข้าวกล่องหรือ เบนโตะ ไปนั่งกินบนรถไฟค่ะ  มีมากมายหลายสิ่ง น่ารักไปหมด  เลือกได้ตามความชอบ  ราคา 600-1500 เยนค่ะ



พนักงานก็ยิ้มแย้ม น่ารัก แม้พูดญี่ปุ่นได้อย่างเดียวก็ตาม


ขึ้นไปที่ track กันเลยค่ะ


ทริปนี้ ฟังดูเหมือนดัดจริตนะคะ แต่เราสองคน นั่งชินกันเซ็นกันแบบ "นั่งทิ้งนั่งขว้าง" ทีเดียวค่ะ เพราะใช้สิทธิ์ JR Pass ที่ซื้อมา นั่งได้ไม่จำกัดอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็ไม่รีรอที่จะนั่ง มันนุ่มก้นมากทีเดียวค่ะ  ระหว่างรอถ่ายรูปหน่อย




เจ้าพนักงานใส่เครื่องแบบเท่มากค่ะ



ขบวนของเรามาแล้ว  เค้าจอดแค่ 15 นาทีนะคะ  มัวแต่โอ้เอ้ อาจตกรถได้



Boarding แล้วค่าาาา... Welcome to the Shinkansen.  ลุงกับป้าเซลฟี่กันหน่อย




รถออกแล้วก็ได้เวลาชิมเบนโตะที่ซื้อมากัน  กล่องสวยมากจนไม่กล้ากินเลยค่ะ



คุณ Admin แห่ง emagtravel.com กล่าวไว้ว่า "Shinkansen ที่เห็นจอดอยู่นั้นส่วนมากจะเป็น N700 Series ผลิตโดย Hitachi, Kawasaki Heavy Industries, Kinki Sharyo, Nippon Sharyo เป็นความรู้ใหม่เลยนะครับว่า Hitachi ทำรถไฟความเร็วสูงด้วย โดยรถไฟรุ่นนี้สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 300 กม./ชั่วโมง ให้บริการตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบัน
ระยะทางจากสถานีโตเกียว ถึง สถานีชินโอซาก้า ประมาณ 500 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง หักเวลาที่จอดในแต่ละสถานีออก คำนวนคร่าวๆ ดูแล้วรถไฟน่าจะวิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 170-200 กิโลเมตร / ชั่วโมง" 
ลืมรึยังคะว่า บิ๊กที่นั่งตู้ 6 แต่เราได้ที่นั่งด้านซ้ายมือ ซึ่งจะมองไม่เห็นฟูจิซัน  แต่ตู้ที่ 1-5 เป็นตู้สำหรับคนที่ขึ้นโดยไม่ได้จอง เราก็เลยรอให้รถออกก่อน แล้วเดินไปตู้ข้างหน้า เดินไปแค่ตู้ที่ 5 ก็มีที่นั่งทางขวามือแล้วค่ะ  ลุงกับป้าเลยย้ายมานั่งด้านขวาซะ  ออกไปไม่นาน ประมาณครึ่งชม.  ก็เห็นภูเขาไฟฟูจิแล้วค่ะ  แต่รถวิ่งเร็วมาก  ขณะกำลังวุ่นวายค้นหากล้อง ก็เห็นฟูจิเหลือเท่านี้แล้วค่ะ   

แต่ก็นับเป็นบุญตานะคะ  เพราะตลอด 10 วัน  นี่คือช็อตเดียวที่ได้เห็นฟูจิซันค่ะ

เอาล่ะ...นั่งมาเกือบสามชั่วโมง ก็ถึงสถานีชินโอซาก้าเวลา 11.00 น. ด้วยความช่วยเหลือจากมาซาฟูมิ  เราก็สามารถต่อรถใต้ดินไปยังที่โรงแรมเรา คือ Apa Villa Hotel  สถานี Yodoyabashi ค่ะ   เราได้เรียนรู้แล้วว่า รถไฟญี่ปุ่นนั้นมีหลายยี่ห้อมาก เราสองคนสามารถนั่ง JR ได้ฟรี แต่ยี่ห้ออื่นเสียเงินตามปกติ  ยี่ห้อที่พบบ่อย ๆ คือ JR กับ Metro (ที่นี่จะเรียกว่า Subway)  พอรู้อย่างนี้แล้ว ตลอด 9 วันก็ไม่เคยหลงอีกเลยค่ะ  พอเราลงชินกันเซ็นแล้ว เราก็ต้องต่อ subway สายสีแดงต่อมาอีก 4 สถานี ก็ถึงสถานีของเรา  ออกทางออกที่ 11 ค่ะ    เรื่องทางออกนี่สำคัญมากนะคะ รู้ว่ลงสถานีไหนยังไม่พอ ต้องรู้ว่าออกทางออกไหนด้วย  จะประหยัดเวลา และประหยัดประสาทได้มากทีเดียวค่ะ

วันนี้เราจะไปโน่นมานี่ค่อนข้างเยอะ มาซาฟูมิเลยแนะนำเราตั้งแต่เมื่อคืนว่า ให้ซื้อ Enjoy eco pass ไปเลย  มันคือ one day pass ของรถไฟในเขตโอซาก้านั่นเองค่ะ  ราคา 800 เยน   เราตัดสินใจซื้อค่ะ โดยมีส่วนลดค่าบัตรผ่านประตูของที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เป็นของแถมด้วยค่ะ

อันว่ารถไฟญี่ปุ่นนั้น  สิ่งที่บิ๊กได้เรียนรู้และประทับใจมากก็คือ ความเงียบค่ะ  ชาวญี่ปุ่นจะไม่เปิดเสียงโทรศัพท์ และจะไม่คุยโทรศัพท์บนรถไฟเด็ดขาด  ชิอากิบอกว่า "Bad manner" ค่ะ  ถ้ามีเรื่องด่วน และเค้าอยู่บนรถไฟเค้าจะส่งข้อความมาหาเราแทนค่ะ   หรืออย่างบนชินกันเซ็น เนื่องด้วยระยะทางค่อนข้างยาว คนอาจมีธุระกันได้  เค้าจะมีห้องสำหรับคุยโทรศัพท์โดยเฉพาะเลยนะคะ  เรียกว่า ไม่รบกวนผู้โดยสารคนอื่นเลยล่ะค่ะ  นิสัยนี้บิ๊กยังติดมาเมืองไทยจนถึงเดี๋ยวนี้   บนโทรศัพท์มือถือนะคะ ปุ่มปิดเสียงโทรศัพท์เค้าไม่เรียกว่า Silent mode นะคะ  แต่เค้าเรียกว่า Manner mode ค่ะ  มีมารยาทดีจริง ๆ ค่ะ


นั่งชมเมืองโอซาก้าไปเรื่อย  15 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ


อ่างล้างหน้า ใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์มาก  ด้านขวาน้ำ  ด้านซ้ายสบู่  ด้านที่ติดตัวเราใช้เป่ามือค่ะ  เห็นมั๊ยคะ..ความขาดแคลนทำให้เกิดปัญญานะคะ  ด้วยความที่เค้ามีพื้นที่จำกัด ต้องใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด


เรามาถึงโรงแรมประมาณใกล้เที่ยงค่ะ  แต่เวลาเช็คอินคือตั้งบ่ายสาม  เราก็เลยตัดสินใจฝากของไว้แล้วไปเที่ยวปราสาทโอซาก้าก่อนดีกว่า  เดินกลับไปสถานี Yodoyabashi เหมือนเดิมค่ะ

ชาวญี่ปุ่นนั้น แต่งตัวกันสู้ตายมากค่ะ  วันทำงานเนี่ย ผู้ชายจะใส่สูทเต็มยศกันเลยทีเดียว ขึ้นรถไฟทุกคนใส่อย่างนี้เกือบหมด  ผู้หญิงก็นิยมใส่ถุงน่อง ช่วงที่เราไปเป็น Golden week ของญี่ปุ่น  รถไฟยังไม่ค่อยแน่นนะคะเนี่ย






เราถามที่หน้าฟร้อนท์ของโรงแรมว่าจะไปปราสาทโอซาก้า  เค้าก็หยิบโบรชัวร์ออกมาอธิบายอย่างดี  รู้สึกดีมากที่มีคนพูดภาษาอังกฤษกับเราได้  เราก็ไปตามเค้าบอก ไปต่อรถไฟอีกนิดหน่อย ก็เป็นการทำความคุ้นเคยกับระบบรถไฟของเขาไปด้วย  พอคุ้นเคยแล้วก็รู้สึกง่ายแล้วค่ะ  มั่นใจขึ้นเยอะ

ที่แรกเราจะไปเที่ยวปราสาทโอซาก้านะคะ บริเวณนั้นมีที่ท่องเที่ยวเกาะกันเป็นกลุ่มค่ะ  เราตัดสินใจเดินเข้าตึกของสถานีโทรทัศน์ NHK เลยค่ะ 



ชาวญี่ปุ่นใช้จักรยานกันเป็นเรื่องปกติมาก  ใส่สูทซะหล่อก็ปั่นจักรยานค่ะ  ที่จอดจักรยานหน้าตึก NHK



ว่ากันว่า..เที่ยวที่ไหนก็ตาม ควรเข้าพิพิธภัณฑ์ก่อน เพื่อจะได้รู้ "ความเป็นมา"  เพื่อจะได้เข้าใจ "ความเป็นอยู่" ของเขา  และเดาได้ถึง "ความเป็นไป" ของชาตินั้น ๆ   หากเรารู้ทั้งความเป็นมา-เป็นอยู่-และเป็นไป  จะมีประโยชน์มากทีเดียวค่ะ  แต่เวลาไปกับทัวร์มักไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้น  คราวนี้เรามาเที่ยวเอง จึงไม่พลาดที่จะเก็บพิพิธภัณฑ์ก่อนเลย   

โอซาก้าเป็นที่ตั้งถิ่นฐานแรก ๆ ของชาวญี่ปุ่นค่ะ  พิพิธภํณฑ์โอซาก้านี้บอกได้ดี  การจัดการพิพิธภัณฑ์ก็ดีมาก  เค้าให้เราเดินตั้งแต่ชั้นบน ลงมาชั้นล่างค่ะ  ทำให้รู้ว่า บรรพบุรุษดั้งเดิมของญี่ปุ่นนั้น ก็มาจากเมืองจีนนั่นเองค่ะ







ภูมิปัญญาการทำเหรียญในสมัยก่อน


มองออกไปเห็นวิวภายนอกสวยงาม  อากาศดีมากเชียวค่ะ



มองจากตึกพิพิธภัณฑ์ เห็นปราสาทโอซาก้า  เป้าหมายต่อไป




บ้านเรือนจำลอง  แสดงในพิพิธภัณฑ์






สมเป็นประเทศเกาะนะคะ  อาหารทะเลอยู่ในสายเลือด


หนู ๆ นักเรียนมาทัศนศึกษา พอบิ๊กจะถ่ายรูป เค้าก็มาแอ็คท่ากันเอง น่ารักมากค่ะ  ไม่ต้องใช้ภาษาใด ๆ ในการสื่อสาร ใช้ภาษาใจล้วน ๆ ค่ะ


อาหารการกินสมัยโบราณ


ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็ออกมากลางแจ้ง ดูการจำลองบ้านเรือนสมัยโบราณ


จะเดินไปปราสาทโอซาก้าแล้วนะ   ต้องบอกว่าการเดินคงเป็นเคล็ดลับอายุยืนอย่างหนึ่งของชาวญี่ปุ่น เพราะเดินกันจริงจัง เดินเป็นล่ำเป็นสัน แต่เดินแล้วไม่เหนื่อยค่ะ เพราะอากาศเย็นสบาย เดินได้เรื่อย ๆ 




แวะทานกลางวันหน่อยดีกว่า  นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ "ความขาดแคลนทำให้เกิดปัญญา" ค่ะ  คนของเค้าน้อย ค่าแรงแพง ต้องทำทุกอย่างเพื่อประหยัดการใช้แรงงานคนให้มากที่สุด "ตู้กด" จึงเกิดมาเพื่อแก้ปัญหาทุกอย่าง  ใช้ตู้กดจนเคยชินกับมัน และเริ่มจะพอใจแล้วด้วยสิ  วิธีการคือ  ดูรูปแล้วหมายปองอาหารเอาไว้  จากนั้นก็ไปหยอดเงินและกดหมายเลขที่ชอบ ท่านจะหยอดเหรียญหรือหยอดแบ้งค์ได้ทั้งนั้น  ตู้จะทอนเงินให้เราเอง พร้อมด้วยคูปอง  เราก็เอาคูปองไปให้ที่เค้าเตอร์  เค้าก็จะทำอาหารให้เรา  ถึงเวลาอาหารเสร็จเค้าก็จะเรียก ก็ไปรับมาทาน เท่านั้นเอง ใช้คนน้อยมากค่ะ


อาหารมื้อเที่ยงวันที่สอง


อิ่มแล้วเดินไปปราสาทโอซาก้า












บ่อน้ำกิมเมอิซุย  บ่อน้ำสำหรับปรุงอาหารและดื่มให้ข้าราชการค่ะ




ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองโอซาก้า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1583 โดยนักรบไดเมียว นามว่า Toyotomi Hideyoshi ใช้แรงงานคนนับหมื่นคนในการสร้างปราสาท โดยใช้เวลาสร้างเพียง 3 ปีเท่านั้น ต่อมาตระกูล Toyotomi ถูกฆ่าล้างโครต ตัวปราสาทก็ถูกทำลาย แต่ก็มีการบูรณะใหม่ในสมัย Tokugawa แล้วก็ถูกฟ้าผ่าอีก
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1931 นายกเทศมนตรีเมืองโอซาก้า นาย Seki ได้ขอรับเงินบริจาคจากชาวเมืองจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนเยน (เท่ากับราว 75,000 ล้านเยนในปัจจุบันนี้) มาบูรณะปราสาทใหม่ จึงได้สวยงามอย่างที่เห็นทุกวันนี้ เนื่องจากว่าตัวปราสาทมีการบูรณะใหม่ไม่นานจึงมีการสร้างลิฟท์อำนวยความสะดวกเข้าไปในตัวปราสาท
ตัวปราสาทโอซาก้ามีทั้งหมด 8 ชั้น ในปราสาทเป็นพิพิธภัณฑ์มีภาพเขียน ชุดนักรบโบราณ ตำราเก่า แสดงเรื่องราวความเป็นมาของตัวปราสาท ชั้นบนสุดของปราสาทเป็นจุดชมวิวเมืองโอซาก้าสามารถเดินได้โดยรอบ
เปิดเข้าชม : 9.00-17.00 น. (เปิดให้เข้าได้จนถึง 16.30 น. ในบางฤดูกาลจะเปิดให้เข้านานกว่าปกติ) ใช้เวลาในการชมตัวปราสาททั้งหมดราว 60 นาที
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ (16 ปีขึ้นไป) 600 เยน, เด็ก (ตั้งแต่ 15 ปีลงมา) เข้าฟรี, ถ้าชมรอบๆ ปราสาทไม่เสียค่าเข้า
(ข้อมูลจากคุณ Admin  เว็บ emagtravel.com ค่ะ)



ลานด้านหน้ามีการออกร้านขายอาหาร  สนใจไอติม เพราะอากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว


โอจิจังกับโอบะจังนั่งทานไอติม


นี่คือแคปซูลแห่งกาลเวลาค่ะ  สร้างขึ้นในงาน Expo ปี 1970  ได้มีการคัดเลือกสิ่งของบางอย่างใส่ลงไป  และมีกำหนดจะเปิดออกมาดูในอีก 5,000 ปีข้างหน้า  คือในปี 6790 นั่นเอง  น่าสนใจว่าเค้าใส่อะไรลงไปบ้างนะคะ  แต่ป้ายไม่ได้บอกเอาไว้





วันนี้ฟ้าสวยจริง ๆค่ะ  ไม่ได้แต่งภาพแต่อย่างใด   ของจริงล้วน ๆ ค่ะ



ขึ้นไปชั้นบนสุด  ชมวิวได้ 360 องศาค่ะ









ีนี่คือ 3 สัญลักษณ์อันสำคัญของที่นี่  เสือ ปลา และดอกไม้ค่ะ


หมวกนักรบสมัยโบราณ  เห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่า  หมวกอลังการขนาดนี้ มิล่อเป้าศัตรูแย่หรือ  แต่ไม่ได้คำตอบ เพราะทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่น  โอะ..โอะ..





ชมปราสาทประมาณครึ่งชั่วโมงได้  ออกมาภายนอก แดดร่มลมตก  ต้นไม้สวยมากค่ะ


ถ้าบ้านเราจะเรียกลานเบียร์ ไม่รู้ที่นี่เรียกอะไรหนอ



บริเวณปราสาท แม้จะเป็นของใหม่ แต่มีกลิ่นอายของเก่าอยู่มากมาย เช่น ตึกนี้เค้าเรียก Martial Art Center  ผู้ปกครองนำเด็ก ๆ มาเรียนศิลปะป้องกันตัวและสู้รบแบบญี่ปุ่น  น้องสองคนนี้แต่งตัวเท่ดี  โอจิจังขอถ่ายรูปด้วยหน่อย สื่อสารกันด้วยภาษาใจค่ะ


เอาล่ะ...เที่ยวปราสาทโอซาก้าเต็มอิ่มแล้ว ได้เวลากลับโรงแรมไปเช็คอินกันดีกว่า นี่คือบรรยากาศแถวโรงแรม Apa Villa ค่ะ  เงียบดีจังเลยนะคะ 


ที่ญี่ปุ่นที่จอดรถมีค่าดั่งทอง และแน่นอน เค้ามีวิธีการใช้ตู้หยอดเหรียญควบคุมการจอดรถได้อย่างมีระบบมากทีเดียวค่ะ



เช็คอินเข้าไปที่โรงแรมต้องบอกว่า เป็นโรงแรมที่ห้องเล็กที่สุดที่เคยพักมาในชีวิต  แต่บรรยากาศอบอุ่นดีนะคะ เรียกว่า..เล็กแต่ต้องอมยิ้มค่ะ  คือทั้งยิ้มทั้งขำ   เพราะที่จะวางกระเป๋าก็แทบไม่มีค่ะ  พักห้องโรงแรมนี้ต้องรักกันจริง ๆ นะคะ ถ้าใครไม่รักกัน เช็คเอ้าท์ไปต้องรักกันแน่นอนค่ะ เพราะต้องอยู่ใกล้ชิดกันตลอด  ห้องน้ำที่นี่..แก้ปัญหาเรื่องการล้มในห้องน้ำได้ชงัดทีเดียวค่ะ เพราะไม่มีทาง "ล้ม" ได้เลย แค่กางแขนก็เต็มห้องแล้วค่ะ  แต่ถ้าใครถามบิ๊กก็แนะนำโรงแรมนี้นะคะ เพราะมันตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่ต้องการแค่ที่นอน ที่อาบน้ำ และปลอดภัย  ที่นี่มีคำตอบหมดค่ะ  ที่สำคัญ ที่นี่มีออนเซ็นให้บริการฟรีด้วยค่ะ

เช็คอินและล้างหน้าล้างมือเรียบร้อย ตกเวลาทุ่มนึงได้ หิวพอดี ก็ต้องออกไปหาอะไรทานกันแล้วสินะ  แน่นอนค่ะ...มาถึงโอซาก้าก็ต้องท่องราตรีที่ย่านโดทงโบริค่ะ  วิธีไปนั้นง่าย แต่วิธีหาย่านนี้ไม่ง่ายเท่าไหร่  วิธีไปคือ นั่ง subway ไปลงสถานี Namba ค่ะ  ออกทางออกไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน  ออกมันมั่วไปก่อนค่ะ  โผล่จากสถานีรถไฟมาก็งง ๆ มองซ้ายมองขวาไปไม่ถูก  แต่คุณชายเธอมีรูปร้านอาหารที่มีปูยักษ์อยู่ในมือ  ต้องถามแน่นอนแล้ว  ตรงนั้นก็ไม่มีใครอยู่เลยสิ  มีแต่กลุ่มเด็ก B Boy 3 คน กำลังรวมกลุ่มเต้น ๆ กันอยู่  บิ๊กเองคงไม่กล้าเข้าไปถามทางแน่นอน  แต่คุณชายเธอไม่อยากหลง เลยตรงเข้าไปถามเลย โดยใช้รูปที่อยู่ในมือชี้ถามเค้า  ทันใดนั้น...

ทั้งสามคนหยุดเต้น แล้วหันมามองเราสองคนด้วยหน้าบึ้งตึง  ตายแล้ว... เค้าโกรธหรือเปล่าเนี่ย บิ๊กทำท่าจะเดินไปดึงคุณชายออกมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เค้าสามคนสุมหัวประชุมกันเล็ก ๆ แล้วเด็กผู้ชายคนที่หน้าบึ้งที่สุดก็เดินมาหาเรา  แล้วกวักมือเป็นการบอกว่า "ตามมา"  แล้วทั้งกลุ่มก็ออกเดินนำหน้าเราไป   กลายเป็นว่า พวกเค้าใจดีมากค่ะ  คือลงทุนเดินนำไปส่งถึงที่เลย  รู้สึกผิดมากที่มองว่าเค้าคงเป็นเด็กไม่ดีตั้งแต่ตอนแรก ทั้งที่จริง ๆ แล้วเค้าเป็นวัยรุ่นใจดีมากเลย  ระว่างเดินไป เค้าหันมาถามเราเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเราฟังไม่ออกหรอก แต่พอจะเดาได้ เลยตอบไปว่า "ไทยแลนด์" ทันใดนั้น น้องคนที่หน้าบึ้งตึงที่สุดก็ยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก  เค้าชี้หน้าตัวเอง แล้วถามเราว่า "Thailand Face?"  คงหมายความว่า "ชั้นหน้าเหมือนคนไทยมั๊ย" ประมาณนั้นอ่ะค่ะ  เราสองคนเลยตอบว่า Yes ๆ ไปก่อน  เค้าทำหน้าพยักเพยิดกับกลุ่มเพื่อน ประมาณว่า "เห็นมั๊ย ชั้นบอกแล้วชั้นหน้าเหมือนคนไทย" อะไรประมาณนั้นอ่ะค่ะ

เค้าพามาถึงย่านโดทงโบริ  เรากล่าวขอบคุณเค้าเป็นสิบครั้งได้เลย เพราะเค้าช่วยเรามากจริง ๆ ตอนจากกันนี่ล่ะค่ะ ที่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มของ BBoy ทั้งสามคน  คนญี่ปุ่นใจดีจริง ๆ ค่ะ   

พาไปดูบรรยากาศย่านโดทงโบริกันค่ะ  เอกลักษณ์คือ ร้านเราขายอะไรต้องทำรูปปั้นสิ่งนั้นขนาดใหญ่ติดไว้หน้าร้าน  ไปดูกันค่ะ มีร้านอะไรบ้าง  เริ่มจากปูยักษ์ ร้านแรกของที่นี่ค่ะ










ร้านนี้ขายอาหารญี่ปุ่นธรรมดา ไม่มีอะไรใหญ่ ๆ อยู่หน้าร้าน  แต่คุณน้าท่านนี้ ร้องเรียกลูกค้าได้ไพเราะมาก ฟังแล้วคล้ายเค้าร้องเพลงเลยค่ะ  อารมณ์ประมาณ  "ขนมแม่เอ๊ยยยยย..." อะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ เลยขอคุณน้าถ่ายรูปหน่อย







ทาโกะยากิปลาหมึกค่ะ




ปลาปักเป้า



ซูชิเลี้ยงได้ทั้งกองทัพค่ะ  ชิ้นเดียวอิ่มไปสามโลก



ร้านกูลิโกะเป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่ทุกคนต้องมา  ตัวร้านอยู่ตรงนี้  แต่ป้ายไฟที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปอยู่อีกที่นึงค่ะ  เดี๋ยวถึงเดินไปถึง





ร้านนี้ ในเว็บที่เราหาข้อมูลเค้าเรียกว่า ร้านบะหมี่มังกร  เป็นร้านบะหมี่ธรรมดานี่เองค่ะ  แต่คนรอคิวเยอะมาก โชคดีตอนเราไปมีแค่ 2 คิว เลยตัดสินใจลองค่ะ






กินชามเดียวอิ่มเลยค่ะ และเพิ่งทราบว่า ก๋วยเตี๋ยวธรรมดาเนี่ย พอใส่กิมจิลงไปปุ๊บ  อร่อยเลยค่ะ  กลับเมืองไทยว่าจะลองเอามาปรุงแบบนี้บ้าง



บรรยากาศร้านอื่น ๆ ค่ะ







เคล็ดลับสำหรับสาว ๆ ค่ะ  ที่นี่ช็อปปิ้งสนุกมากนะคะ  ใครอยากได้ของฝากเป็นพวกเครื่องสำอาง  ที่นี่คือสวรรค์ค่ะ  มุ่งหน้าเข้าร้านขายยาเข้าไว้ บิ๊กสองคนกวาดโฟมล้างหน้าชิเซโด้หลอดสีฟ้ามาโหลนึง มีโปรโมชั่นลดราคาอยู่ค่ะ  แถมยังได้อุปกรณ์ความงามอีกหลายชนิดที่หาไม่ได้ที่เมืองไทยด้วย  ราคาก็ย่อมเยาดี

อ่ะ..ส่วนนี่คือ shelf ร้อนค่ะ  เครื่องดื่มใน shelf นี้อุ่นอยู่ตลอดเวลา เพราะไอที่ออกมาเป็นไอร้อน  (shelf แบบนี้ไม่พบในเมืองไทยแน่นอนค่ะ)  


เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้กันลืมเหนื่อย  เดินข้ามสะพานกันดีกว่า



นี่ค่ะ..ป้ายไฟกูลิโกะอันมีชื่อเสียงอยู่ตรงสะพานข้ามคลองนี่ล่ะค่ะ



ข้ามสะพานมาแล้วจะพบถนนอันน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับนักช้อป  เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ของกิน เครื่องสำอาง ฯลฯ มีให้ท่านซื้อได้ที่นี่  แต่ขณะนี้ใกล้สามทุ่มเต็มที ร้านค้าทยอยปิดกันแล้ว  คุณชายหมายตาโอนิซึกะ ไทเกอร์ไว้ที่ร้าน ๆ หนึ่ง  สงสัยต้องมาอีกหลาย ๆ คืนแล้วค่ะ  อิอิ  


เดินไปเรื่อย ๆ ผ่านห้างไดมารู และผ่านร้านเครปร้านนี้ค่ะ เราตัดสินใจกินทันที เพราะคำว่า "โอจิ" เนี่ยแหล่ะ  


เดิน ๆ และเดินไปเรื่อย  อ้าว..ไปเจอกับทางลงสถานี subway Shinsaibashi ได้ไงไม่รู้  ดีเลยค่ะ สถานีนี้ก็กลับโรงแรมได้เหมือนกัน กลับไปนอนเอาแรงก่อนนะ 

ก่อนนอนก็ไม่ลืมศึกษาการไปเที่ยวเกียวโตกับนารา  ขณะกำลังตัดสินใจว่าจะไปเมืองไหนก่อน คุณชายก็เข้าเว็บ accuweather พบว่า พรุ่งนี้  นาราฝนตก  แต่มะรืนอากาศสดใส จึงได้คำตอบสุดท้ายว่า พรุ่งนี้ไปเกียวโตแน่นอนค่ะ  กะกันว่า พรุ่งนี้ตื่น 06.30 กันเถอะ  ก็ติดตามนะคะ ว่าจะตื่นมั๊ย...



No comments:

Post a Comment