Thursday, May 22, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นเอง 10 วัน : วันที่ 3 เกียวโต



วันที่ 3 : เกียวโต

 

ฮ่า ๆ จากบล็อคที่แล้วก็ทิ้งท้ายไว้ให้ลุ้นว่า  วันที่สามในญี่ปุ่น ลุงกับป้าจะตื่นตามกำหนดหรือไม่  คำตอบคือ....

นาฬิกาปลุกทำงานอย่างเสียเปล่าที่สุดค่ะ  ได้ยินแล้วก็นอนต่อ  เพราะหกโมงก็คือแค่ตีสี่บ้านเราเองอ่ะค่ะ  ไม่ขยันตื่นขนาดนั้น  นี่แหล่ะ ข้อดีของการไปเที่ยวเอง อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร ก็ได้ทั้งนั้น  เราอาจจะเริ่มเที่ยวสาย แต่พอมีเราแค่ 2 คน การไปไหนมาไหนมันก็เร็วไปหมด วันนี้เช็คอากาศแล้วว่าเกียวโตท้องฟ้าแจ่มใสดี ก็มุ่งหน้าไปเลยค่ะ  
คุณ admin แห่ง http://www.emagtravel.com/archive/kyoto-trip.html แนะนำว่า ควรมีเวลา 2 วันสำหรับเกียวโต  แต่เรามีวันเดียว เลยเลือกจุดหมายที่มีความหลากหลายหน่อย  เลือกที่จะเว้นวรรควัดต่าง ๆ ไปก่อน  จะได้เก็บไว้เป็นจุดหมายในการเยือนญี่ปุ่นครั้งต่อไปไงคะ (อิอิ  แอบหวัง)
ประเดิมบล็อควันนี้ด้วยรูปส้วมเลยเหรอ??  ขำ ๆ ค่ะ  จะให้ดูวิธีกดน้ำเท่านั้นเอง ก็เอามือไปบังแสงตรงช่องอลูมิเนียม น้ำก็ไหลทำความสะอาดแล้วค่ะ ไม่ต้องสัมผัสตัวชักโครกเลย



สำหรับการเดินทางวันนี้  เรานั่งชินกันเซ็นเช่นเดิม นั่งจากชินโอซาก้า มาลงที่เกียวโต  ใช้เวลาเพียง 15 นาที ซึ่งเร็วมากค่ะ  ซื้อเบนโตะขึ้นมากินต้องทำเวลาสุด ๆ   และแล้วก็มาถึงสถานีเกียวโตค่ะ  สถานีรถไฟเค้าเนี่ย..น้อง ๆ สนามบินเลยล่ะค่ะ ทั้งขนาด ทั้งจำนวนผู้โดยสารที่ผ่านไปมาในแต่ละวัน 





วันนี้เดินทางง่ายค่ะ เราจะไปอะราชิยาม่ากัน  เริ่มจากสถานีเกียวโต นั่งรถไฟ JR Sagano line จากสถานี JR Kyoto ไปลงที่สถานี Saga Arashiyama

นี่ค่ะ  รถไฟวันนี้ ให้อารมณ์ Retro สุด ๆ อ่ะ



บนรถไฟวันนี้เราพบว่า มีนักท่องเที่ยวจากชาติต่าง ๆ ที่มาเที่ยวเองแบบเราเยอะมากค่ะ  รวมถึงคนไทยด้วย วันนี้เจอคนไทยเป็นว่าเล่นเลยค่ะ




ถึงแล้วค่ะ  สถานี Saga Arashiyama  ย่านนี้ต้องบอกว่า เป็นย่านที่น่ารักมากค่ะ มองไปมุมไหนก็น่าถ่ายรูปไปหมด สงบเงียบดีค่ะ

ออกจากสถานี Saga Arashiyama ก็จะเจอกับสถานี Torokko Saga ซึ่งเป็นรถไฟท้องถิ่นของเกียวโต นักท่องเที่ยวส่วนมากมักมีจุดหมายที่จะนั่งรถไฟสายโรแมนติค Sagano Romantic train จากสถานีนี้ค่ะ 

รถไฟสายโรแมนติค Sagano Romantic train
รถไฟ Sagano Romantic train เป็นรถไฟเก่าสำหรับนั่งชมวิว หน้าต่างเปิดโล่ง จะวิ่งชั่วโมงละขบวนเท่านั้น โดยจะวิ่งในเวลา 9:07 – 16:07 น. ค่าโดยสาร 600 เยน ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ระยะทาง 7 กิโลเมตร ไปสุดสายที่ Torokko Kameoka Station ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับสถานี JR Umahori เราสามารถนั่งรถไฟสายโรแมนติค Sagano Romantic train ไปจนสุดสายแล้วกลับด้วยรถไฟ JR ก็ได้
(ข้อมูลโดยคุณ admin แห่งเว็บ http://www.emagtravel.com/archive/kyoto-trip.html)

ลุงกับป้าลังเลว่าจะนั่งรถไฟดีมั๊ย  คิวก็ไม่ยาวเท่าไหร่นะคะ  น่านั่งทีเดียว แต่เราเห็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว เราก็เลยแวะเข้าไปถามก่อน  ดีใจมากที่คุณลุงเจ้าหน้าที่ประจำบู้ทพูดภาษาอังกฤษได้  คุณลุงอธิบายทางอย่างดีชัดเปรี๊ยะ... เราออกมาพร้อมโบรชัวร์และตัดสินใจกันว่าจะเดิน ไม่ขึ้นรถไฟ  เดินตามที่คุณลุงแนะนำนั่นแหล่ะ  แต่ปรากฎว่า...เดินตามแล้วหลงกระจาย ทำให้นึกขำตัวเองว่า เดินตามคำแนะนำที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมา 2 วันไม่หลงแฮะ  แต่พอเจอภาษาอังกฤษเข้าดันหลง   แต่เอาเถอะค่ะ การมาเที่ยวเองอย่างนี้ ต้องยอมรับการหลงว่าเป็นเรื่องปกติ และพลิกวิกฤติการหลงทางให้เป็นโอกาส  เราก็เลย...เดินหลงชมเมืองค่ะ





น่ารักมั๊ยล่ะคะ




คุณป้าในร้านออกมาแล้วทำท่าทางบอกเราว่า ไม่ซื้อ..แต่จะถ่ายรูปก็ได้นะ  ด้วยท่าทียิ้มแย้มที่สุดเลย  ปลื้มคุณป้ามากค่ะ



เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นก็คือ "รถลาก" ค่ะ  เราเริ่มเห็นรถลากที่นี่เป็นที่แรก  แต่บิ๊กอยากให้ท่านสังเกตอะไรอย่างหนึ่งเกี่ยวกับรถลากของญี่ปุ่น  ลองดูนะคะว่าท่านเห็นอะไร  ยังไม่เฉลยค่ะ







 
เห็นเหมือนที่บิ๊กเห็นมั๊ยเอ่ย...เราไม่ได้สนใจรถหรอก เราสนใจ "คนลากรถ" ต่างหาก  ที่ญี่ปุ่นนี่เค้ามี reality คัดคนลากรถรึยังไง  แต่ละนายนี่หนุ่ม หล่อ สูง หุ่นดีกันทั้งน้านนน... ในโตเกียวก็มีเยอะนะคะ ชิอากิเล่าให้ฟังว่า  แต่ละคนนี่รายได้ดีเชียวแหล่ะ และใช่ค่ะ...ชิอากิบอกว่าเค้าคัดหน้าตาด้วย!!!
ทำไมคนขับเคลื่อนสามล้อของเค้า มันช่างต่างกับของไทยเยี่ยงนี้ล่ะคะ????





หลังจากหลงมาพอประมาณ เราก็หาทางไปถูกแล้วล่ะค่ะ  เราเดินตามป้ายไปนั่นเอง  อาศัยถามคนท้องถิ่นบ้าง 

ตรงนี้..ขอแบ่งปันประสบการณ์การ "ถามทาง" คนญี่ปุ่นค่ะ  อย่าคิดว่าสำเนียงการออกเสียงสถานที่ของเราจะเป๊ะนะคะ  ออกเสียงไปชาวญี่ปุ่นอาจไม่เข้าใจ  สิ่งที่บิ๊กสอนนักศึกษาเสมอ ๆ ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอค่ะ  "ชาวญี่ปุ่นสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดผ่านทางการเขียนค่ะ" ดังนั้น กระดาษกับปากกาต้องมีในมือเลย  พอจะถามทาง ก็เขียนสถานที่ที่/สถานีรถไฟที่เราต้องการลงในกระดาษ  และชี้สิ่งที่อยู่ในกระดาษให้เค้าดู  เค้าจะเข้าใจทันทีเลยค่ะ แล้วการชี้บอกทางจะตามมา  เค้าสามารถบอกทางโดยใช้คำพื้นฐานได้ เช่น up and left   หรือ  go down and track 15  เท่านี้ก็พอที่เราจะไปต่อได้โดยไม่หลงแล้วล่ะค่ะ

เดินไปถามทางไป  ผ่านบ้านคน สวย ๆ ทั้งนั้นเลย




เราเดินมาถึงทางรูปตัว T  เราอยู่หาง T  ข้างหน้าเราคือวัดเท็นเรียวจิ  ป้ายเค้าบอกว่า ด้านซ้ายไปสะพาน  ด้านขวาไปป่าไผ่  เราเลยตัดสินใจเข้าดูวัดเท็นเรียวจิค่ะ  เพราะทางออกของวัดเท็นเรียวจิก็คือป่าไผ่อยู่แล้ว  ซื้อตั๋วเข้าชมวัดเลยค่ะ





วัดแบ่งเป็นหลายชั้นมาก  นี่คงคล้ายระฆังของเค้า สั่นกระดิ่งโดยใช้เชือกเส้นยักษ์นี่ล่ะค่ะ

สิ่งนี้คล้ายการเสี่ยงเซียมซีของบ้านเรา  ต้องเล่าให้ฟังก่อนนะคะว่า "วัด" ของญี่ปุ่นกับวัดของไทยมีลักษณะคล้ายกันหลายอย่าง ที่บิ๊กสังเกตเห็นก็คือ จะมีส่วนของโบสถ์  พอออกจากโบสถ์ก็มีที่ขายเครื่องรางของขลังทั้งหลาย  อีกฝั่งก็จะมีส่วนของการเสี่ยงเซียมซี  เซียมซีญี่ปุ่นใบสีขาวค่ะ  ความเชื่อเราคล้ายกันคือ  ถ้าคำทำนายดีก็ให้นำกลับบ้าน แต่ถ้าไม่ดีก็ให้พับ ๆ แล้วผูกไว้ที่วัดแบบนี้ล่ะค่ะ



วัดเทนเรียวจิ (Tenryuji Temple) เป็นวัดนิกายเซน วัดนี้ถือเป็นวัดที่สำคัญในเกียวโต และยังเป็นมรดกโลกอีกด้วย วัดนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1339 โดยโชกุนอาชิคากะ (Ashikaga Takauji) ที่มาของการสร้างก็เพื่ออุทิศให้กับจักรพรรดิโกไดโงะ (Go-Daigo)
ตัวอาคารวัดเทนเรียวจิ เคยถูกไฟไหม้และเสียหายในช่วงสงคราม และได้กลับมาซ่อมแซมในสมัยเมจิ ค.ศ. 1868-1912 ส่วนสวนญี่ปุ่นที่อยู่ในวัดกลับไม่เคยได้รับความเสียหาย สวนที่เห็นในปัจจุบันเป็นสวนที่มีมาแต่ดั้งเดิม ผู้ออกแบบสวนวัดเทนเรียวจิเป็นนักจัดสวนที่มีชื่อเสียง นามว่ามุโซ (Muso Soseki)
การเข้าชมวัดเทนเรียวจิ สามารถชมได้เพียงบริเวณสวนและรอบๆ ตัววัดเท่านั้น โดยมีค่าเข้าชมคนละ 500 เยน
(ข้อมูลโดยคุณ คุณ admin แห่ง http://www.emagtravel.com/archive/kyoto-trip.html)








ด้านหลังนี้คือศาลาใหญ่ และหมู่อาคารประธานของวัดนี้เลยค่ะ  










สิ่งที่สวยงามมาก ๆ คือ สวนที่อยู่ด้านหลังอาคารประธาน สมแล้วล่ะค่ะที่ได้นักจัดสวนมือวางอันดับโลกมารังสรรค์ให้  เพราะสวยงามจริง ๆ ค่ะ  นี่ถ้ามาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี คงสวยลืมหายใจกันไปเลย












ช่วงนี้เป็นฤดูกาลของดอก Wisteria ค่ะ ดอกสีม่วงยาวเป็นช่อทิ้งตัวลงมา เวลาลมพัดพริ้วไหว ดูแล้วเพลินมาก ๆ เลยล่ะค่ะ  ที่นารามีสวนพฤกษศาสตร์แห่งนึงที่เต็มไปด้วยต้นวิสทีเรียนี้  แต่เราไม่ได้เข้าไปสวนนั้น  แค่เห็นที่วัดเท็นเรียวจินี่ก็ตื่นตาแล้วค่ะ









เดินชมวัดจากด้านหน้า มาออกทางด้านหลัง ก็พบกับป่าไผ่พอดีเลยค่ะ  คุณคุณ admin แห่ง http://www.emagtravel.com/archive/kyoto-trip.html  ให้ข้อมูลไว้ว่า
ป่าไผ่ (Bamboo Groove) เป็นต้นไผ่ขนาดใหญ่ ลำต้นสีเขียวตั้งตรง ป่าไผ่บริเวณนี้มีอายุนับพันปี ความหนาแน่นของต้นไผ่ทำให้แดดส่องลงมาไม่ถึงทางเดินด้านล่าง













จากป่าไผ่ ก็มีสถานที่ให้เยี่ยมชมอีกมากมายค่ะ  เดินตามป้ายไปได้เลย  แต่เราเลือกที่จะไปศาลเจ้าโนโนมิยะ (Nonomiya Shrine) เป็นศาลเจ้าแบบชินโต สามารถเข้าชมได้ฟรี

ระหว่างทางผ่านสุสานด้วยค่ะ  ป้ายสุสานคล้ายของจีนนะคะ


บ่าวสาวญี่ปุ่นมาถ่ายรูปเว็ดดิ้งกัน  บิ๊กไม่พลาดต้องขอเค้าถ่ายรูป เพราะสวยเหลือเกินค่ะ  เป็นจริงดังคำกล่าวว่า "หญิงชาติใดย่อมงดงามที่สุดในชุดประจำชาติของชาตินั้น"  มาญี่ปุ่นเป็นโรคแพ้กิโมโนไปเลย  เห็นไม่ได้เป็นต้องเข้าไปขอเค้าถ่ายรูป  สาวญี่ปุ่นยังใส่กิโมโนกันมากนะคะ  ใส่อยู่ทั่วไป  และเริ่มเห็นมากขึ้นเรื่อย  ๆ ชิอากิเล่าให้ฟังว่า เพิ่งมีนักเขียนหญิงท่านหนึ่งเขียนหนังสือออกมาว่า การใส่กิโมโนทำให้คุณต้องเดินในท่าที่หลังตรง ซึ่งจะดีกับสุขภาพของเราโดยรวม  สาวญี่ปุ่นจึงหันมาใส่กิโมโนกันมากขึ้นเรื่อย ๆ  ค่ะ


ถึงศาลเจ้าแล้วค่ะ









ป้ายขอพรค่ะ  ทำด้วยไม้ น่ารักดี  ส่วนมากคนที่มาเขียนจะเป็นวัยรุ่นเสียมากกว่า 


เรามาทำความเคารพแบบญี่ปุ่นกันดีกว่าค่ะ  เค้ามีป้ายติดไว้ว่า "Clap twice, bow, make a wish, donate some money, ring the bell, clap once, bow again"  เรามาลองทำตามดูนะคะ






ป้ายขอพรอีกจุดหนึ่ง  ประดับน่ารักดีค่ะ



จริง ๆ ตรงนี้คือด้านหน้าศาลเจ้า  ประเพณีการเข้าวัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นนั้น  เข้ามาถึงเค้าจะมี "แหล่งน้ำ" จัดไว้ให้นะคะ  ผู้มาเยือนต้องใช้น้ำ บ้วนปากและล้างมือให้สะอาดก่อน จึงจะผ่านเข้าวัดหรือศาลเจ้าได้ค่ะ  แน่นอนเราทำตามทุกวัดเลยค่ะ


หลุดจากโซนสถานที่่ท่องเที่ยวก็เป็นร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึกแล้วค่ะ  เราก็ได้อะไรติดไม้ติดมือมาหลายสิ่งทีเดียว



ในร้านขายตะเกียบค่ะ  ขายตะเกียบและอุปกรณ์ต่อพ่วงของตะเกียบ เช่น ที่วางตะเกียบ เป็นต้น



ร้านนี้ขายผ้าทอ มีมุมให้ลองทอผ้าด้วย  อยู่เมืองไทยไม่เคยมีโอกาส ทั้ง ๆ ที่กรรมวิธีก็เหมือนกี่ทอผ้าบ้านเรานั่นแหล่ะ  ได้ลงมือทำจริง ๆ ที่นี่ รู้สึกดีมาก ๆ เลยค่ะ  ฝึกสมาธิอย่างแรงเลย ทั้งมือ ทั้งเท้า ต้องสัมพันธ์กันหมดเลยค่ะ







คุณชายกำลังตัดสินใจว่าจะทานอะไรมื้อเที่ยงดี


ตัดสินใจร้านนี้ ขายเนื้อวัวค่ะ


นี่ไงคะ  เดิน ๆ อยู่ก็เจอป้า ๆ ใส่กิโมโนกันปกติ



ตัวอะไรหนอ อยู่ในบ้านคนค่ะ



เดินผ่านเห็นเค้านิยมเทินหินกัน ก็เลยลองเทินบ้าง  อันนี้ไม่รู้ประเพณีแท้หรือเทียม  แต่ที่แท้แน่ ๆ คือ  พระที่มีผ้าแดงผูกที่คอ แปลว่า พระองค์นั้น... สร้างอุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของเด็กที่ตายค่ะ



เดินมาสถานีรถไฟ  รอรถไฟกลับสถานีเกียวโต  สู่จุดหมายต่อไปคือ วัดทองคินคะคูจิ




จากสถานี JR Saga Arashiyama เรานั่งรถไฟไปลงสถานี JR Emmachi แล้วต้องต่อรถเมล์ไปลงที่ป้าย Kinkakuji-michi ตรงนี้เป็นความสะพรึงเล็ก ๆ ของเรา  เพราะขณะนี้เริ่มคุ้นเคยกับระบบรถไฟ แต่การไปวัดคินคะคูจิต้องไปรถเมล์อ่ะสิ  เอาไงเอากัน!!!!

เราก็นั่งรถไฟมาลงสถานี Emmachi และแน่นอนเราถามนายสถานีโดยการชี้คำว่า Kinkakuji ที่เราเขียนไว้ในกระดาษ  ชรอยว่าคงมีคนถามเค้าเยอะมาก  เค้าก็ควักแผนที่ตัวใหญ่อ่านง่าย ออกมาบอกทางเราเลย  ออกจากสถานี เลี้ยวขวาแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอป้ายรถเมล์  ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นรู้ได้ยังไงว่าต้องนั่งรถเมล์สายไหน  คิดว่าคงถามนายสถานี และถามคนที่ป้ายรถเมล์นั่นแหล่ะ  ถ้าจำไม่ผิดเป็นสาย 205 นะ

รถเมล์ของญี่ปุ่นนั้นแน่นไม่แพ้รถเมล์ไทย แต่ที่ต่างกันคือ ขึ้นประตูกลาง ลงประตูหน้า อย่างแน่นอนและมั่นคง!!! ผู้โดยสารจะเข้าแถวรอขึ้นรถกันอย่างมีระเบียบ และไม่มีคำว่า "รีบร้อน"  เค้าพร้อมจะรอให้คนที่อยู่ข้างหน้าขึ้นก่อนให้เรียบร้อย ไม่มีการดัน ไม่มีการเบียด  ทั้งรถมีคนขับเพียงคนเดียว ทำหน้าที่ทุกอย่าง ทั้งขับ ทั้งประกาศชื่อป้าย ทั้งกล่าวเชื้อเชิญ กล่าวขอบคุณ (คนขับมี headphone + microphne ติดตลอดเวลา ประกาศแล้วได้ยินทั้งรถ  ไม่ต้องตะโกนแบบเมืองไทยค่ะ) เก็บค่าโดยสาร

คำถามคือ..ใครเก็บค่าโดยสารใช่มั๊ยล่ะค่ะ  ง่ายมาก..ใช้เครื่องเก็บค่ะ  ผู้โดยสารที่ใช้บริการบ่อย มีบัตรเติมเงินก็สะดวกเลย ใช้แตะที่เครื่องข้างคนขับได้เลย  แต่ถ้าใครเป็นขาจรแบบเรา ก็จะต้องหยอดค่าโดยสารเอง  โดยหากมีเงินไม่พอดีจำนวน..ไม่ต้องกลัวค่ะ เพราะเจ้าเครื่องข้างคนขับนั้นเครื่องเดียว ทำหน้าที่ทุกอย่าง  หากเราต้องการแลกเหรียญ ก็เอาเหรียญหรือแบ้งค์ที่เรามี ใส่เข้าไปในเครื่อง  เครื่องมันจะโปรยเหรียญย่อยออกมาให้เราก่อน  แล้วเราก็ค่อยหยอดตามจำนวนที่ถูกต้องด้วยตัวเราเอง  กระบวนการทั้งหมดนี้ อาจฟังดูค่อนข้างเสียเวลา  แต่เชื่อไหมคะว่า คนที่ต่อคิวอยู่ข้างหลังเราก็พร้อมจะรออย่างใจเย็น ไม่มีกดดันกันเลยค่ะ  เป็นที่ที่ขึ้นรถเมล์แล้วมีความสุขมาก  ที่สำคัญ  มีจอ Display หน้ารถขนาดใหญ่  แสดงแผนผังตลอดเวลาว่า รถกำลังวิ่งอยู่ตรงป้ายไหนแล้ว เราก็จะเห็นว่าป้ายของเราอยู่ตรงไหน อีกกี่ป้ายจึงจะถึง อย่างนี้ก็ไม่หลงทางแล้ว  สะดวกและอุ่นใจมาก  ๆค่ะ

และแล้วก็ถึงป้าย Kinkakuji-michi ของเรา  ลงรถแล้วไม่ต้องถามใครอีกเลย เพราะมวลมหาประชาชนทุกคนที่ตรงนี้ ต่างมุ่งหน้าไปวัดคินคะคุจิกันทั้งนั้น  ไหลตามเค้าไปเลยค่ะ  นี่คือสี่แยกคินคะคุจิ


ทางเดินเข้าวัด  ระหว่างทางมีร้านขายของที่ระลึก


เดินเข้าวัดแล้วค่ะ  ใครเคยดูอิคิวซังก็ต้องเคยเห็นการตีระฆังแบบญี่ปุ่น  ที่นี่เค้าเก็บตังค์ค่ะ  800 เยน  ถึงจะได้ตี  เราก็ถ่ายรูปเอา อิอิ


ไม่เคยเห็นคูโบต้าขนาดเล็ก ถ่ายรูปหน่อย


วัดทอง คินคะคุจิ (Kinkakuji) วัดนี้น่าจะคุ้นหู คุ้นตาคนที่ชอบดูการ์ตูนเรื่องอิคคิวซัง เพราะปราสาทสีทองของโชกุนในเรื่องอิคคิวซัง ถอดแบบมาจากวัดทอง คินคะคุจิ
วัดทอง (Golden Pavilion) เป็นวัดนิกายเซน มีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่าโรคุองจิ (Rokuonji) ในตอนแรกนั้นสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อาศัยของโชกุนอะชิคากะ (Ashikaga Yoshimitsu) และเปลี่ยนมาเป็นวัดนิกายเซนในภายหลัง หลังจากที่โชกุนได้เสียชีวิตลงแล้ว
วัดทอง คินคะคุจิ เสียหายจากไฟไหม้ในช่วงสงครามมาหลายครั้ง แต่ก็มีการสร้างใหม่ตลอด ไฟไหม้ครั้งล่าสุดในปี ค.ศ. 1950 จากฝีมือของพระที่คลั่งในความงามของวัดทอง จนต้องการเผาตัวเองไปพร้อมกับวัด ตัววัดที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1955

ที่มาของชื่อวัดทอง (Golden Pavilion) เป็นชื่อที่ตรงตัว เนื่องมาจากทาด้วยสีทอง สระน้ำที่อยู่หน้าวัดเป็นน้ำนิ่ง เมื่อสะท้อนกับแสงเปรียบเสมือนกระจก สามารถมองเห็นวัดทองได้ในเงาที่ผิวน้ำ

ชั้นล่างของวัดทอง เป็นที่อาศัยของโชกุน และชั้นสองเป็นที่อยู่ของซามูไร ชั้นสองจะไม่มีหน้าต่าง ทาด้วยสีทองที่ด้านนอก ด้านบนของหลังคาประดับด้วยรูปปั้นนกกระเรียน

(ข้อมูลโดยคุณ Admin เว็บ http://www.emagtravel.com/archive/kyoto-trip.html)


ญี่ปุ่นช่างคิดมากนะคะ ทำอย่างไรให้ตั๋วเข้าชมสถานที่ กลายมาเป็นของที่ระลึกได้ด้วย  เค้าทำเหมือนยันต์เลยค่ะ


เที่ยวเองดีงี้แหล่ะ..ไม่มีมวลมหาประชาชนมาแย่งซีนถ่ายรูปกับเรา เอาให้หนำใจไปเลย อิอิ






















ต้นไม้สวย ๆ ทั้งนั้นเลย


นี่คือบอนไซขนาดใหญ่



แพ้กิโมโนอีกแล้ว  หนุ่มสาวใส่ชุดประจำชาตินี่น่ารักจริง ๆ






เทคนิคการได้กลับมาเยือนเกียวโตอีก  ต้องโยนเหรียญให้ลงในบาตรพระเล็ก ๆ นั่นพอดี



ยอดปราสาทประดับนกกะเรียน




สามสาวทำป้ากรี๊ดสลบ  สวยมาก  ๆ เลยหนู  ขอเค้าถ่ายรูป  เค้าเลยบอกให้เราถ่ายรูปหมู่ให้เค้าด้วย  ยินดีเลยจ้ะ



คุณชายไปสั่นกระดิ่งวัดทองเสียหน่อย


ทำท่าคล้ายตัวเองเป็นเจนนิเฟอร์ โลเปสเลยนะ!!!




เย๊..การเที่ยววัดทองก็จบลงไปด้วยดี กลับยังไงล่ะทีนี้  ไม่ยาก..มายังไงก็กลับอย่างนั้นแหล่ะ  ก็นั่งรถเมล์กลับไปลงที่เดิมค่ะ  ป้ายมันเคลื่อนจากเดิมเล็กน้อย ก็เลยต้องเดินอีกนิดหน่อยถึงสถานีรถไฟ JR ค่ะ  ระหว่างทางเราเดินข้างหลังสาวท่านนี้  เลยแอบถ่ายรูปมาให้ดูว่า เค้าใส่กิโมโนเดินถนนกันจริง ๆ นะคะ



อากาศร้อนแฮะวันนี้ แวะเซเว่นกันหน่อยดีกว่า ตากแอร์ด้วย และสำรวจวิถีชีวิตด้วยค่ะ  ในส่วนของกินของใช้ก็คล้ายกัน แตกต่างกันแต่ยี่ห้อเท่านั้น  อ้อ..เค้าจะมีส่วนขายของสดนิดหน่อยค่ะ  แต่..ส่วนที่น่าสนใจกว่าคือมุมนี้ค่ะ  ปริ๊นซ์รีบเรียกบิ๊กให้ไปถ่ายรูปไว้เลยอ่ะ  มันน่าสนใจจริง ๆ ค่ะ  บิ๊กขอเรียกมุมนี้ว่า "มุมธุรกิจ" ก็แล้วกันนะคะ  เซเว่นที่นี่ไม่ได้ชื่อ 7-11 นะคะ  แต่ชื่อ "7 and I Holding" ค่ะ  ได้เรียนรู้จากพี่จูนซึ่งทำงานธนาคารกรุงเทพสาขาโตเกียวว่า  เซเว่นฯ ที่นี่ทำหน้าที่เป็นธนาคารเล็ก ๆ ด้วย  คือคุณสามารถฝาก ถอน โอน จ่าย หรือธุรกรรมพื้นฐานได้ที่สาขาเลย  นอกจากนี้ ยังมีเครื่อง Multifuntion ให้คุณสามารถถ่ายเอกสาร พิมพ์งาน ส่งแฟ็กซ์ได้เองด้วย  เพื่อนตุ๊รงค์เล่าให้ฟังว่า เค้าเองก็มี account อยู่ ทำให้ไม่ต้องซื้อ printer เองหรอก  เวลาต้องพิมพ์งานก็สั่งมาที่เซเว่น  เดินมากดรหัสของตัวเอง ก็รับงานปริ๊นท์ไปได้เลย  เลิศอ่ะ...  แถมยังมีมุมกาแฟสดด้วยค่ะ  ทั้งหมดนี้..เป็นเครื่องกดหมดนะคะ  ไม่จำเป็นต้องมีคนคอยบริการแต่อย่างใด  มีแผงเติมเงินโน่นนั่นนี่พรึ่บเลยค่ะ




นี่เครื่อง Multi funtion  อันอลังการ (เสียดายว่าไม่ใช่ยี่ห้อของบริษัทสามี ชิ!!!)




หยอดเหรีญเองค่ะ



กาแฟสดหน่อยมั๊ยคะ


มีคนเดินมาฝาก-ถอนเงินไม่ขาดสายเลยค่ะ  เห็นมั๊ยคะ..ยี่ห้อ 7 Bank


เอาล่ะ กลับมาที่สถานี Emmachi  เตรียมกลับสถานีเกียวโตค่ะ  นี่คือที่ชานชาลา  มีถังขยะรับพวกขยะที่รีไซเคิ้ลได้อยู่ที่ชานชาลาด้วยค่ะ


มองออกไปจากชานชาลามีห้างสรรพสินค้า



นับว่าวันนี้เราเที่ยวได้หลายที่และกลับโรงแรมไม่เย็นมาก (ดิฉันรู้ว่าคุณสามีอยากไป Shinsibashi เพื่อสอยโอนิซึกะไทเกอร์มาให้ได้ซักคู่นึง)   จากสถานีเกียวโตเราก็นั่งชินกันเซ็น (อีกแระ..อิอิ) กลับมาสถานีชินโอซาก้า และนั่งซับเวย์กลับโรงแรมค่ะ  แถวโรงแรมเราก็มีตึกเก่า ๆ น่าชมเช่นกัน




เราเข้าโรงแรม ล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แล้วก็ออกไปช้อปปิ้ง เอ๊ย..หาอะไรกินที่ Shinsibashi กันดีกว่า  วันนี้ก็ได้เห็นน้ำใจชาวญี่ปุ่นอีกแล้ว  คือเรานั่งรถไฟไปลงที่สถานีได้ แต่ไม่รู้ว่าต้องออกที่ทางออกเบอร์อะไร ถึงจะไปโผล่ที่แถวร้านค้านั้นได้ จำได้แต่ห้างไดมารู  ขณะกำลังยืนดูแผนผังทางออกอยู่นั่นเอง  ออร่าของนักท่องเที่ยวหลงทางคงแผ่ซ่านออกมาอ่ะ  ก็มีเสียงชายหนุ่มหล่อดังขึ้นเป็นภาษอังกฤษข้างหลังว่า "Can I help you?"  กรี๊ดดดด... ได้ยินภาษาอังกฤษอ่ะ  หันไปพบชายหนุ่มใส่สูทผูกไทด์ ถือกระเป๋าเอกสาร หล่อจริง ๆ ยืนอมยิ้มให้อยู่  เลยส่งภาษาอังกฤษไปอธิบายให้เค้าฟังว่าอยากไปช้อปปิ้งต่อจากเมื่อคืนอ่ะจ้ะ  เค้าก็คิดซักพัก  ถามมาว่า แถวนั้นมีห้างไดมารูใช่มั๊ย  บิ๊กกรี๊ดตอบไปว่า "ใช่จ้ะ"  เค้าก็เลยบอกทางออกให้ ขอบคุณเค้ามาก ๆ เลย  เค้ายิ้มแล้วจากไปเหมือนฮีโร่เลยค่ะ...  ลุงกับป้าก็เลยได้ continue shopping ต่อจากเมื่อคืน  เข้าห้างตั้งแต่ทุ่มนึง  ตอนออกต้องออกทางออกพนักงานอ่ะ  เพราะห้างเขาปิดไปตั้งครึ่งชั่วโมงได้แล้ว  เรียกว่าช้อปจนห้างปิดเลย  แต่ก็ปลื้มปริ่ม  เพราะคุณชายได้ถอยโอนิซึกะไทเกอร์สมใจแล้วจ้าาาาาาา.....

ห้างปิดแล้วก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะเนี่ย  เรื่องกินตอนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่  เรื่องซื้อของใหญ่กว่ามาก  อิอิ  ซื้อของเสร็จก็เดินข้ามคลองมากินข้าว  เห็นเรือพานักท่องเที่ยวลองคลองออกเป็นระยะ ๆ  แถมนักท่องเที่ยวเต็มตลอด  นึกถึงคลองบ้านเรานะ  เราน่ะ..มีของจะขาย แต่เราไม่ขาย คิดในแง่ดีก็คือ ทำให้ทรัพยากรเราไม่บอบช้ำ  อย่างงั้นแล้วกันนะ


นั่งกินข้าวอยู่  ด้านตรงข้ามมันเป็นร้านอะไรหนอ




อาหารเย็น พร้อมของหวานวันนี้



กินเสร็จเดินไปดูห้างที่สงสัย  พบว่าเป็นห้างขายของราคาประหยัด  เลยเดินไปสอยเป้มาได้ใบนึง  เพราะวันนี้เที่ยวจนเป้ที่เอามาจากเมืองไทย ขาดคามือเลยค่ะ 

ห้างปิดกันหมดแล้ว แต่เดินไปเจอร้านนี้  ชื่อเข้าทีดีนะคะ  ร้าน"กู"  ฮ่าฮ่า


เฮ้อ..วันนี้เต็มที่จริง ๆ ค่ะ กลับมานอนเอาแรงเพื่อไปนาราต่อพรุ่งนี้ค่ะ  ศึกษาแล้ว..นาราเป็นเมืองที่ต้องเที่ยวด้วยรถเมล์เท่านั้น  แต่เราก็อุ่นใจแล้ว เพราะวันนี้มีประสบการณ์ขึ้นรถเมล์แล้ว  คืนนี้เรานอนเตรียมพร้อมกันเลยค่ะ