Friday, June 13, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นนเอง 10 วัน : วันที่ 7 โยโกฮาม่า

วันที่ 7 โยโกฮาม่า


เอาล่ะค่ะท่านผู้อ่าน  และแล้วเช้าวันใหม่ก็มาถึง 6 มิถุนายน 2557  วันนี้เป็นวันสุดท้ายของ Golden week  พรุ่งนี้ชาวญี่ปุ่นก็ต้องไปทำงานกันแล้วนะคะ เราจะได้เห็นกันล่ะ ว่าความมีชีวิตชีวาของโตเกียวจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร  วันนี้เรามีโปรแกรมไปคามารุระ นมัสการพระใหญ่ไดบุสซึกันในช่วงเช้า  และทัวร์โยโกฮาม่ากับเพื่อนตุ๊รงค์ช่วงบ่าย

และสำหรับผู้อ่านที่ลุ้นว่า เท้าขวาที่เจ็บของบิ๊กเป็นอย่างไรบ้างนั้น ...  บิ๊กเองก็ลุ้นเหมือนกันค่ะ  ส่ิงแรกที่ทำตอนก้าวเท้าลงจากเตียงคือลองน้ำหนักเลย ปรากฎว่า.... เจ็บไม่น้อยลงกว่าเมื่อคืนเลยค่ะ  จึงหันไปบอกคุณสามีว่า ขออนุญาตพักช่วงเช้าได้ไหม  เพราะทราบว่าช่วงบ่ายต้องเดินค่อนข้างมาก  สามีตกลง ก็เลยออมแรงไว้  แค่เดินไปหาอะไรทานช่วงเช้าเท่านั้นเอง ระหว่างทางพบน้องๆ  นักเรียนปั่นจักรยานไปเรียน  น่ารักจังเลย


ร้านนี้ชื่อร้าน Cafe de Crie ขายอาหารเช้าแนวตะวันตกหน่อย  ลูกค้าเยอะนะคะ



นี่คือแถบสถานีรถไฟ Omori ค่ะ  มีร้านอาหารที่ดูจากรูปแล้วเหมือนอาหารไทย  แต่ยังไม่เปิด


นี่คือร้านโยชิโนย่าที่เราสองคนชอบทาน


นี่ไงคะ  เมืองนี้..กระเบื้องปูพื้นถนนก็มีลายที่แตกต่างกันออกไปอีก  อันนี้เป็นมือเด็กเล่นเป่ายิ้งฉุบ  และในมือเด็กคนที่ออกกระดาษ น่าจะเป็นเปลือกหอยนะคะ  เพราะเปลือกหอยเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้


เดิน ๆ มาเจอร้านอาหารไทยอีกแล้ว  แต่ความหรูและมีระดับ สู้ร้าน Thani Kitchen ไม่ได้เลยค่ะ


มีห้างอยู่ที่สถานีรถไฟด้วย  กิโมโนสวยดีจัง




เดินกลับบ้านพี่จูนไปพักเท้า


นอนพักเท้า  ยกขาขึ้นพาดเตียงเลย  หวังว่าคงช่วยได้บ้าง  นัดเพื่อนตุ๊รงค์ 12.30 น. ที่สถานีโยโกฮาม่า  ประมาณเที่ยงตรงจึงออกไปสถานีรถไฟ  ขึ้นรถไฟไปชิล ๆ  เท้าดีขึ้นนิดส์นึง

วันนี้เป็นวันแรกในญี่ปุ่นที่รู้สึกโล่งและ Secure ไม่ต้องคิดแล้วว่าฉันจะหลงมั๊ย เพราะฉันจะเจอเพื่อนฉันแล้ว   เมื่อถึงสถานีโยโกฮาม่า เพื่อนตุ๊รงค์รออยู่ ตรงเวลาเป๊ะ  ดีใจมากค่าาาา... เพื่อนพาไปทานมื้อกลางวัน  ร้านอยู่ในสถานีเลย  เป็นสถานีที่ใหญ่และคึกคักมากค่ะ  ร้านสวยมากเลย  


ร้านญี่ปุ่นที่ต้องนั่งกับพื้น เข้าไปถึงต้องถอดรองเท้าก่อน และใส่ช่องหรือใส่ล็อคเกอร์ไว้  หากจะไปห้องน้ำเค้าจะมีรองเท้าแตะให้ยืมใส่

ตุ๊รงค์เลี้ยงข้าว ลุงกับป้าเลยเสนอเลี้ยงขนมเพื่อนตอบแทน  เออ..นั่นสิ  ตั้งแต่มาญี่ปุ่น นอกจากโมจิก็ยังไม่ได้กินขนมของเค้าเลย  ตุ๊รงค์เลยพาไปร้านที่ขายขนมของโดยตรง  ลุงกับป้าสั่งประมาณนี้



หลังจากอิ่มแล้ว คุณชายก็แอบกระซิบตุ๊รงค์ว่า "สงสัยไอโฟนหาย"  ตุ๊รงค์พาไปแจ้ง lost and found ซะเป็นเรื่องใหญ่โต  แต่อิฉันฉุกคิดว่า "เอาติดตัวมาจากบ้านพี่จูนหรือเปล่า"  จึงโทร.กลับไป วันนี้พี่จูนหยุดอยู่บ้าน  จึงช่วยขึ้นไปเช็คให้บนห้อง ปรากฎว่า ไอโฟนคุณชายนอนเอ้งแม้งอยู่ที่ห้องนั่นเอง  ... น่าตีจริงเชียวโอจิจัง!!!!

เอาล่ะ..สบายใจแล้วเริ่มเที่ยวกันได้  

โยโกฮาม่าเป็นเมืองท่า ทางใต้ของโตเกียวในเขตจังหวัดคานากาว่า ความพิเศษของโยโกฮาม่าคือเป็นเมืองท่าเรือที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่น เป็นทั้งเมืองอุตสาหกรรมและการคมนาคม ถ้ามองจากมุงสูงบนตึกที่สูงที่สุดในโยโกฮาม่า จะได้เห็นเมืองท่าชายทะเลในมุมกว้าง  เป็นเมืองท่องเที่ยว เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของนิสสัน และเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 41 ของโลก (โตเกียวอยู่อันดับ 40)  

สัญลักษณ์สำคัญของเมืองนี้มีหลายที่ค่ะ  แต่ที่แรกที่ตุ๊รงค์พาเรามาคือ ไชน่าทาวน์เลย  ที่นี่เป็นไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะคะ



วันนี้จะมีรูปลุงกับป้าเยอะหน่อย  อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ








คิดแค็ทเก๋จริงอะไรจริง  ทำเป็นรูปฟูจิซันด้วย




จากไชน่าทาวน์  เดินข้ามคลองก็มาถึงย่าน Motomachi  ตรงนี้
เป็นชุมชนของชาวต่างชาติสมัยศตวรรษที่ 19 (พ.ศ. 2344-2443) ตุ๊รงค์บอกว่า ข้ามจากจีนก็มาหาฝรั่งไง  สังเกตกระเบื้องปูพื้นสิคะ  บ่งบอกถึงความเป็นชุมชนของฝรั่งต่างชาติจริง ๆ  บิ๊กว่าน่าจะมีคนเขียนหนังสือเรื่องกระเบื้องปูถนนของเมืองต่าง ๆ นะ  คงน่าสนใจมาก ๆ เลยค่ะ










ร้านนี้สะดุดตามากค่ะ  ชื่อร้าน "Slow Cafe"  คงไม่ได้หมายถึงบริการช้าหรอก แต่คงหมายถึง slow life  เที่ยวแบบเนิบ ๆ นั่นเอง  มาที่นี่อย่าใจร้อน  นั่งสบาย นั่งไปเรื่อย ๆ  อะไรประมาณนี้นะคะ




เก้าอี้ยั๊ย..ใหญ่



ตึกสวยดีค่ะ





เดินมาสะดุดตากับภาพวัดอรุณ  มันคืออะไร.... อ๋อ ..ร้านนวดแผนไทยนั่นเองค่ะ  ชั่วโมงละ 4,000 เยน (ประมาณพันกว่าบาท)




นี่คือตึก Marine Tower ค่ะ เป็นตึกที่นิยมขึ้นมาชมวิวโยโกฮาม่ากัน





แม้เราจะไม่ได้ขึ้นตึกนี้  แต่เดี๋ยวมีช่วงขึ้นที่สูงกัน  อดใจรอว่าเป็นที่ไหนนะคะ

เราเดินต่อไปที่สวน Yamashita  สถานที่แถว ๆ นี้อยู่ติด ๆ กันหมดเลยนะคะ  ทั้งคุณเพื่อนและคุณสามีให้ความร่วมมือดีมาก โดยการเดินช้าๆ เห็นใจคนเท้าเจ็บ  ขอบคุณค่ะ

เดินเข้าบริเวณสวน  มีอีเว้นท์ รถรุ่นใหม่ น่าสนใจมากค่ะ ทายซิยี่ห้ออะไร...แหม ต้องนิสสันอยู่แล้วค่ะ  สำนักงานใหญ่เค้าอยู่เมืองนี้ จำได้ไหมคะ




โอจิจังกับตุ๊รงค์เข้าไปลองนั่งดู  ลงความเห็นว่า  เหมือนมอเตอร์ไซค์ที่มีโครงรถยนต์คลุมนั่นเอง  แต่บิ๊กชอบแนวคิดนะคะ  ปัจจุบันเราซื้อรถ ส่วนใหญ่ก็นั่งกันคนเดียว หรือสองคนอยู่แล้ว




ไฮบริดด้วย  ใช้น้ำมันกับไฟฟ้า



เห็นเรืออยู่ด้านหลังเต็มไปหมด  ลำใหญ่ ๆ ทั้งนั้นเลย ถ่ายรูปกันหน่อย



กับตุ๊รงค์เพื่อนรัก และไกด์กิติมศักดิ์ของเรา





เรามองออกไปเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ตอนแรกเข้าใจว่าเป็น "ตึก" แต่เดี๋ยวจะพาเดินเข้าไปดูค่ะ ว่าแท้จริงคืออะไร


กังหันลม


จะเห็นว่า บรรยากาศเริ่มค่ำลงแล้ว  พร้อมอากาศที่เย็นลงเรื่อย ๆ  จนถึงขั้นหนาวกันเลยทีเดียว


แต่ที่สวนแห่งนี้มีการประกวดจัดสวนกันไป  เลยมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะแยะเลยค่ะ  ขอสวีทกันหน่อยนะ  อิอิ















เดินมาถึงบริเวณท่าเรือแล้วค่ะ  เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Osanbashi


ตึกที่เห็นทางซ้ายมือนั้น  ไม่แน่ใจว่าชื่อจริง ๆ คือตึกอะไร  แต่ตุ๊รงค์บอกว่า คนไทยที่นี่นิยมเรียกว่า "ตึกหน่อไม้"  เออ...เหมือนจริง ๆ แฮะ!!!


บรรยากาศสวยไปทุกมุมเลยค่ะ


ป้าเจ็บเท้าอ่ะค่ะ  เลยโพสต์ได้แค่นี้  นี่ถ้าเท้าไม่เจ็บนะ  กระโดดแล้วแน่ ๆ!!!!








โอซันบาชิเป็นท่าเรือที่เอื้ออาทรมากค่ะ  เพราะมีการทำด้านบนให้คนขึ้นไปเดินเล่นได้  เราก็ขึ้นไปเดินเล่นกันเถอะ





มองลงมาเห็นทางเข้าท่าเรือด้านล่าง ลูกเรือขามาต้อนรับผู้โดยสาร  เขาเข้าแถวกันอย่างสุภาพมาก ๆ เลยค่ะ



เฉลย...สิ่งที่เราเห็นว่าเป็น "ตึก" เมื่อตอนอยู่ที่สวน  แท้จริงแล้วมันคือ....เรือสำราญ..นั่นเองค่ะ  ฮู้ยยยย...สูงยังกะตึก 10 ชั้นแน่ะ  อลังการจังเลย  ทริปนี้คงจะมาจอดเทียบท่าที่โอซาก้า  ผู้โดยสารก็ลงมาเดินเล่นกันในเมือง  ต้องมีเงินเท่าไหร่นะถึงจะมาทริปอย่างนี้กับเขาได้  อนุโมทนากับผู้โดยสารทั้งหลายที่ทำทานมาดี  มีเงินทองมากมาย


นี่คือลูกเรือค่ะ  อยู่ด้านท้ายของเรือ


ส่วนของห้องพักบนเรือ


ชื่อเรือเค้าล่ะค่ะ



มีคนมาดูความยิ่งใหญ่ของเรือเต็มเลยค่ะ  แต่ตรงจุดนี้อ่ะ  หนาวสุดขีด  ลมแรงมาก  



ตุ๊รงค์พามาที่ที่หลบลมหน่อย  นั่งพักรอให้พระอาทิตย์ตกดินสักหน่อย จะได้เห็นแสงสีของโยโกฮาม่ายามค่ำคืน  โอจิจังดูหนาวสุดฤทธิ์



ค่ำแล้ว เริ่มเห็นแสงสีของไฟ  เราจึงออกเดินไปยัง "ตึกแดง" หรือ Akarenka รายงานสถานการณ์เท้าขวาขณะนี้  รู้เลยว่าเจ็บ แต่ไม่รู้สึกเจ็บ  เพราะอะไรน่ะหรือคะ... เพราะมันหนาวจนเท้าชาค่ะ  เลยพยายามเดินเป็นปกติ  ตรงนี้กลับเป็นผลดีในวันรุ่นขึ้น  จะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ ต้องติดตามค่ะ

เอ้า..เดิน ๆ  ๆ  ให้อุ่น ๆ   มุ่งหน้ามายังแสงไฟที่เห็น  ระหว่างทางเจอสิ่งนี้  เค้าเรียก Cyclopolitan  เป็นจักรยานค่ะ  แต่ปั่นแล้วจะให้ไฟฟ้าเอามาทำให้ไฟเขียวที่ประดับรถสว่างไสวขึ้น  นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นกันมาก  แนวคิดดีมากค่ะ  ขอสรรเสริญจริง ๆ 




ตึกที่มีไฟเยอะที่สุดนั้นเรียกกันว่า Akarenda หรือ ตึกแดงนั่นเอง  Red brick warehouse  ใช่ค่ะ..โกดังกับท่าเรือนั้นเป็นของคู่กันอยู่แล้ว  ตึกแดงก็คือโกดังเก่า ซึ่งปัจจุบันนำมาปรับปรุง ข้างในเป็นร้านขายของและร้านอาหาร  น่าเดินทีเดียวค่ะ  แต่ราคาแพงอยู่  เราดินเข้าไปชมกันแล้วเดินออกมา  มุ่งหน้าไปย่าน "มินาโตะ มิไร"  ภาษาอังกฤษเรียก World Porter  ตรงนี้จะมีสวนน้ำ สวนสนุก  Landmark Tower และแน่นอน..ที่เด่นที่สุดในภาพคือ ชิงช้าสวรรค์ เค้าตั้งชื่อว่า Cosmo Clock ค่ะ 







ลุงกับป้าอยากขึ้นชิงช้าสวรรค์  อิอิ  เลยมุ่งหน้าไป ตรงนี้ร้านอาหารสวยๆ ทั้งนั้นเลย


ซื้อตั๋วกับตู้เหมือนเดิม  สะดวกจริง ๆ   แล้วก็ไปต่อแถวขึ้น



ขึ้นมาแล้วค่ะ  กระเช้านึงจริง ๆ นั่งได้ 6 คนนะ  แต่เค้าก็ให้เราขึ้นแค่คู่เดียว ขอบคุณพนักงานค่ะ


พยายามจะถ่ายรูปมุมสูงมาฝากทุกท่าน  โยโกฮาม่ายามค่ำคืน สวยมากจริง ๆ ค่ะ








เห็นความเป็น World Porter ชัดเจนมาก


โอจิจังบนกระเช้า







กระเช้าผ่านตึกหน่อไม้ค่ะ


รอบนึงใช้เวลา 10 นาที  สวยประทับใจมากค่ะ  ลงจากกระเช้ามาก็เดินต่อ  ไปหาอะไรทานกันดีกว่า

นี่ค่ะ  สิ่งสำคัญของย่านนี้  Landmark Tower


เรือคลาสสิคมาก



แต่หนาวสุดฤทธิ์





ถ่ายรูปให้เพื่อนด้วย


สำหรับมื้อค่ำ  ตอนแรกตุ๊รงค์มีร้านแนะนำ  เป็นอาหารโอกินาว่า ซึ่งเป็นเมืองทางใต้สุดของญี่ปุ่น  ตุ๊รงค์บอกว่า ส่วตัวชอบอาหารของเมืองนี้  เพราะเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ไทยที่สุดแล้ว  และหน้าตาของคนโอกินาว่าก็คล้ายไทยด้วย  แต่เนื่องจากวันนี้ยังคงเป็น Golden week ตุ๊รงค์โทร.ไปที่ร้านแล้วไม่มีคนรับสาย  เกรงว่าเดินไปแล้วร้านปิด อาจจะผิดหวังได้  เลยพามาทานร้านนี้แทน  ชอบมาก  มีอาหารหลายอย่างให้เลือก และจานเล็ก ๆ ทำให้ลองชิมได้หลายอย่าง  


สลัดกับหน้าตุ๊รงค์  อะไรสดกว่ากัน????

อันนี้คือ...ไหลบัวทอด  เชลล์ชวนชิมจ้า  เพราะเราจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาหารจานนี้มาก่อน  หร่อยมาก


สเต๊ะรวมหลากหลายเนื้อ  (อ้อ..จริง ๆ เมื่อวานเป็นวันจันทร์ ซึ่งต้องกินมังสวิรัติ  แต่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นมังฯ ได้ยากยิ่ง  จึงตั้งใจว่า กลับไปเมืองไทยจะไปกินมังฯ ชดเชย 1 วันแล้วกันนะคะ)




วันนี้ที่โยโกฮาม่า มีความสุขมากกับทั้งสามีและเพื่อน  จบวันด้วยอาหารอร่อยและมิตรภาพที่แสนดี  ขอบคุณตุ๊รงค์มาก ๆ สำหรับน้ำใจของเพื่อนวันนี้จ้ะ  หนุกหนาน ๆ



ปรึกษาตุ๊รงค์ว่าพรุ่งนี้จะไปไหนดีหนอ  คือโดยส่วนตัวอยากไปดูชิบะซากุระ หรือ pink moss ที่ทะเลสาบคาวากุชิโกะ  ซึ่งมันจะได้ 2 เด้ง คือไดู้ชิบะซากุระด้วย และได้เห็นภูเขาไฟฟูจิด้วย แต่เพื่อนตุ๊รงค์ highly recommend ว่า  "ไม่ได้นะจ๊ะ...ยังไงต้องไปฮาโกเน่!!!"  พร้อม proudly present ให้ฟังถึงความงดงามของฮาโก่เน่  ว่าสวยยังไง ได้ดูฟูจิซันด้วย แถมหาข้อมูลให้เสร็จสรรพว่าต้องไปยังไง  เลยแพ้ใจเพื่อน ประกอบกับมั่นใจในคำแนะนำของตุ๊รงค์ด้วย  เลยพยักหน้ากับโอจิจังว่า พรุ่งนี้ไปฮาโกเน่แน่นอน!!!!

ถึงเวลาร่ำลาเพื่อนแล้ว  และเล่าให้ตุ๊รงค์ฟังถึงร้านพี่จูน ตุ๊รงค์เลยบอกว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากไปทานร้านพี่จูน จะได้มีโอกาสทำความรู้จักพี่จูนด้วย  ตุ๊รงค์อยู่ไม่ไกลจากโอโมริเลย และมีเพื่อนญี่ปุ่นมาก อยากหาร้านอาหารไทยอยู่พอดี  จึงเกิดการนัดหมายไว้คร่าว ๆ ว่า คืนวันมะรืนน่าจะสะดวก  เพราะลุงกับป้าก็ยังไม่ได้ชิมอาหารร้านพี่จูนเลยเหมือนกัน  เพียงแต่คืนพรุ่งนี้กลับจากฮาโกเน่ต้องไปค้างบ้านชิอากิตามที่เค้าชวนไว้   ตุ๊รงค์เห็นด้วยกับแผนนี้  จึงไลน์บอกพี่จูนว่าขอจองโต๊ะทานอาหาค่ำ พร้อมนำเพื่อนมาสวัสดีพี่จูนกับโอโต้ซังด้วย

ฮ้า...จบวันอันแสนสุขที่โยโกฮาม่า  ถึงบ้านเกือบเที่ยงคืน พร้อมเท้าขวาที่ยังเจ็บอยู่  (พอถึงบ้านรู้สึกถึงความเจ็บแล้ว เนื่องจากความชาหายไป)   เก็บของใส่เป้เล็ก พรุ่งนี้ไปฮาโกเน่ แถมต้องเตรียมไปค้างบ้านชิอากิ 1 คืนด้วย  

นอนหลับเป็นตายค่ะ