Monday, June 2, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นนเอง 10 วัน : วันที่ 4 นารา

วันที่ 4  นารา


และแล้วก็ถึงวันสุดท้ายของที่เที่ยวแถวโอซาก้า  หลังจากเมื่อวานนี้ไปลุยเกียวโตมาก่อน เพราะดูพยากรอากาศว่าเมื่อวานนาราฝนตก  เมื่อคืนกลับจากเกียวโตก็เลยเช็คพยากรณ์อากาศอีกครั้ง พบว่านาราแจ่มใสดี  แต่อุณหภูมิเป็นเลขตัวเดียว  บิ๊กเลยจัดเสื้อหนาวซะเต็มสูตร  มันก็หนาวจริงช่วงเช้าค่ะ  แต่บ่าย ๆ ก็อยากถอดเสื้อตัวในอยู่เหมือนกัน 

วันนี้นั่ง subway มาที่สถานี Shin-Osaka เหมือนทุกวัน  เปลี่ยนบรรยากาศอาหารเช้าเป็น ABF เสียหน่อยแล้วกันนะวันนี้




และระหว่างที่นั่งทานอยู่นั่นเองก็สำรวจตั๋ว ปรากฎว่า เจ้ากรรมจริง ลืม JR Pass หรือ "บัตรเบ่ง" ของเราไว้ที่โรงแรม บิ๊กเลยนั่ง subway กลับไปเอาที่โรงแรม  เสียเวลาตรงนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง

เรานั่งรถไฟจากสถานี JR Shin-Osaka ไปลงสถานี Osaka  แล้วต่อไปสถานี JR Tennoji

จากสถานี JR Tennoji นั่งรถไฟไปลงสถานี JR Nara





นาราเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองโอซาก้า ด้วยระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร สามารถนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองนาราแบบเช้าไป – เย็นกลับได้อย่างสบายๆ ชื่อ “Nara” มาจากภาษาญี่ปุ่นคำว่า “Narasu” แปลว่าทำให้แบนราบ เนื่องจากพื้นที่ของเมือง Nara ตั้งอยู่บนที่ราบ

เมืองนารา เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นมาก่อนในปี ค.ศ. 710-784 (ก่อนเมืองหลวงจะถูกเปลี่ยนเป็นเกียวโตในภายหลัง) ด้วยความที่ว่าเมืองนาราเป็นเมืองหลวงมาก่อน จึงมีวัดและศาลเจ้าเก่าแก่อยู่หลายที่เช่น Tōdai-ji, Saidai-ji, Kōfuku-ji, Kasuga Shrine, Gangō-ji, Yakushi-ji, Tōshōdai-ji, และ the Heijō Palace สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วทั้งสิ้น

(ข้อมูลจากคุณ admin เว็บ http://www.emagtravel.com/archive/nara-trip.html)


มาถึงสถานีแล้วก็เข้าห้องน้ำเลย อิอิ... ห้องน้ำสาธารณะของญี่ปุ่นจะมีความหลากหลายให้เลือกนะคะ  มีสัญลักษณ์บอกหน้าห้องเลย สำหรับห้องนี้เป็น "Japanese Style" คือส้วมนั่งยองนั่นเอง  ผู้หญิงคนที่อยู่ข้างหน้าบิ๊ก ถึงคิวเค้าแล้วแต่ห้องนี้มันว่าง เค้าหันมาหาบิ๊ก ทำหน้าเหยเก แล้วโบกมือให้บิ๊กไปเข้าก่อน  ประมาณว่า "ชั้นเข้าไม่ได้หรอกค่ะ สไตล์นี้น่ะ"    บิ๊กเข้าได้สบายมากอยู่แล้ว เลยวิ่งไปเข้าซะ  ของเค้าไม่มีส่วนที่เป็นเท้าเหยียบค่ะ




กวางเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนารา เนื่องจากชาวนารามีความเชื่อว่ากวางเป็นสัตว์รับใช้เทพเจ้า ปัจจุบันเมืองนารามีกวางเดินอยู่อย่างอิสระทั้งเมือง

(ข้อมูลจากคุณ admin เว็บ http://www.emagtravel.com/archive/nara-trip.html)


ถ่ายรูปกับมาสค็อทกวางประจำเมืองนารา (บิ๊กเรียก "กวางสุดสาคร" เพราะละม้ายอยู่)





หลุดจากสถานีรถไฟออกมา มองทางขวามือทันทีเลยจะพบ Nara Kotsu Bus Ticket Counter เราซื้อบัตรโดยสารรถเมล์แบบ One day pass ที่นี่ค่ะ  บัตรเค้าออกแบบให้เป็นของที่ระลึกได้ด้วย เป็นไม้ห้อยคอแบบนี้  ให้อารมณ์นักท่องเที่ยวมาก ๆ อ่ะ  เจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วเป็นคุณป้าที่อารมณ์ดีมาก หัวเราะตลอด





เราก็ได้แผนที่วิ่งรถบัสมาด้วย มีภาษาอังกฤษ ค่อยดีใจหน่อย ออกมานอกอาคารมองกลับไปที่สถานี JR Nara สวยมากค่ะ ถ่ายรูปหน่อย




วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์ ซึ่งตารางการวิ่งรถบัสจะแตกต่างไปจากวันธรรมดา  แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาค่ะ  จะมีเจ้าหน้าที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์หน้าสถานีรถไฟ  พร้อมให้บริการอยู่ และเหมือนเดิมค่ะ..แม้เค้าพูดแต่ภาษาญี่ปุ่น แต่การชี้ก็ยังเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมาก เค้าแนะนำให้ขึ้นรถเมล์ในสายที่ถูกต้องได้ค่ะ 

ขึ้นมารอรถเมล์ออก  ณ จุดนี้รอ้นมาก..ขอบอก  ก็ตอนเช้าเช็คอุณหภูมินารา  พบว่า 4 องศาเท่านั้น  ดิฉันเลยเตรียมเสื้อผ้าหน้าผมมาหนาวสุดฤทธิ์  แต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่...



รถบัสออกแล้ว วิ่งไปตามถนนก็พบกวางอยู่ทั่วไปจริง ๆ  ด้านขวาที่เห็นนี้คือ Nara Park เป็นสวนสาธารณะใหญ่  ชาวเมืองมาเดินเล่นกันในวันหยุด ดูอบอุ่นดีค่ะ


ทางให้กวางข้ามถนน  ...  น่าสนใจมากทีเดียว  ไม่รู้กวางมันรู้สิทธิ์ของมันหรือเปล่าเนี่ย



ระหว่างรถวิ่งไป มีคนขึ้นมาเรื่อย ๆ  มีผู้สูงอายุเยอะมาก ปริ๊นซ์เลยลุกให้คุณยายท่านนึงนั่ง  หารู้ไม่ว่า คุณยายคือผู้ช่วยชีวิตเราทั้งสองในเวลาต่อมา

สำหรับสถานที่แรกที่เราไปก็ศาลเจ้าคาสุงะ ไทฉะ (KasugaTaisha Shrine) ตามข้อมูลที่เราหามา เราต้องลงป้าย KasugaTaisha Honden  รถวิ่งมาประมาณ 15 นาที่   เราก็ดูหน้าจอรถบัสเรื่อย ๆ  ยังไม่มีวี่แววป้ายที่เราควรจะลง 

ชรอยคุณยายคงอ่านภาษากายบิ๊กออก เพราะดูแผนที่ตลอดเวลา  คุณยายเลยเอามือมาวนที่แผนที่ แล้วส่งภาษาญี่ปุ่น  บิ๊กแปลภาษากายออกว่า คุณยายถามว่า จะไปไหน  บิ๊กเลยใช้ภาษาแห่งการชี้  ชี้ไปที่รูปศาลเจ้าคาสุงะไทฉะ    คุณยายก็ส่งภาษากายมาว่า "ลงป้ายหน้านะอีหนู"  ซึ่งตามจอที่หน้ารถบัส มันยังไม่ใช่สถานีที่เราควรลง  บิ๊กเลยทำหน้างง ๆ  แต่พอรถจอดที่ป้ายนั้นเท่านั้น  คุณยายก็กุลีกุจอลุกขึ้นให้ทาง แล้วแตะตัวให้บิ๊กรีบ ๆ ลง  เอ้า..ลงก็ลง  คุณชายก็ลงตามมา  แล้วยืนงง ๆ อยู่ที่ป้ายรถเมล์   เจอสาวน้อยคนหนึ่งยืนแจกโบรชัวร์อยู่  เลยเข้าไปชี้ถามเค้าว่า ศาลเจ้าอยู่ไหน  น้องชี้ไปที่ทางเข้า ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 50 เมตรเองอ่ะ!!  แปลว่าคุณยายบอกทางถูกจริง ๆ!!   ขอบคุณนะคะ .. หากมีโอกาสได้เจอกัน หนูจะตอบแทนคุณยายค่ะ...

ศาลเจ้าคาสุงะ ไทฉะ (KasugaTaisha Shrine) เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองนารา บรรยากาศเหมือนอยู่ในป่า ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่

ภายในศาลเจ้าคาสุงะ ไทฉะ จะมีกวางเดินอยู่ตามทาง ทางเดินไปถึงตัวศาลเจ้านั้นเป็นระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร แต่เดินได้เรื่อย ๆ ชมโคมไฟหินที่เรียงรายอยู่ข้างทางกว่า 2,000 โคม





แน่นอนเจอกวางเจ้าบ้าน  มันคุ้นกับคนมาก  เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง  นึกถึงบรรยากาศตอนไปฟาร์มแกะที่สวนผึ้ง กลัวมันตะกายอยู่เหมือนกัน  ตัวใหญ่ซะด้วย


ด้านหลังจะเห็นซุ้มขายคุกกี้สำหรับให้กวาง  50 เยน  ปึกนึงมี 10 แผ่น  คุณป้าเซ็งลี้ฮ้อเชียว เพราะโมโนโพลี่ มีเจ้าเดียว ใคร ๆ ก็ต้องซื้อแกล่ะ



กวางเธอน่ารัก แต่ใจร้อนนะคะ  ถ้าแกะคุกกี้ไม่ทันเธอ เธอจะงับกระเป๋า งับเสื้อหนาว  แล้วดึง ๆ   เป็นการเร่งว่า "เร็ว ๆ หน่อยพี่"





บริเวณศาลเจ้าสวยค่ะ  สีส้มเป็นสัญลักษณ์อันสำคัญ



โคมหินเรียงราย


กวางอีกแล้ว



.... กวางกับคน  "ใครหล่อกว่ากันครับพี่" ...




ยืนตัวเดียว  หล่อ ๆ เลยครับ..




กวางปะปนอยู่ทั่วไป


ด้านหลังนี้คือถังสาเกค่ะ  เป็นอะไรที่แปลกมากค่ะ  เพราะชาวญี่ปุ่นนำสาเกไปถวายเทพเจ้า ในอดีตจึงมีถังสาเกเป็นจำนวนมาก




หน้าปากทางเข้าตัวศาลเจ้า




ต้องไม่ลืมล้างมือ และบ้วนปากก่อนเข้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์




พินิจโคมไฟแบบใกล้ๆ





ภูมิปัญญาชาวบ้าน  ไม้กวาดญี่ปุ่นค่ะ


สถาปัตยกรรมเค้าสวยดีอ่ะค่ะ





ถึงแล้วค่ะ ตัวศาลเจ้า

สาวน้อยที่ขายตั๋ว  แต่งตัวน่ารักมาก  ออกสไตล์เกาหลีนะเนี่ย



อาจมองเห็นไม่ชัด  แต่ด้านหลังคือดงดอกวิสทีเรียช่อสีม่วง จำได้ไหมคะ  สามารถซื้อตั๋วเข้าชมได้ แต่เราตัดสินใจไม่ไป


บริเวณศาลเจ้า




ในนี้ก็มีต้นวิสทีเรียเหมือนกัน


ขอตั้งชื่อเล่นให้ศาลเจ้านี้ว่า ศาลเจ้าหมื่นโคม  เพราะมีโคมเยอะมากค่ะ  ทั้งโคมทองและโคมรมดำ  ห้องนี้เป็นห้องมืด และจุดโคมจริง ๆ  ถ่ายรูปยากมาก เพราะแสงน้อย



ป้ายอะไรก็ไม่รู้








เดินชมโคมไฟมาเรื่อย ๆ  ถึงบริเวณโถงประธาน มีคนเขียนอะไรบางอย่างเลยตามแห่เข้าไปดูบ้าง

เค้าเขียนคำขอพรค่ะ  เลยเขียนกับเค้าบ้าง



แล้วก็นำไปวางไว้หน้าแทนไม้ที่เห็นนั้น



แล้วเราก็เดินมาด้านนอก ถ่ายรูปกันต่อ


เพิ่งเจอป้ายศาลเจ้าตอนขาออกนี่เอง   ที่นี่เป็นมรดกโลกด้วยค่ะ  และบิ๊กสังเกตว่า เค้าจะไม่อนุญาตขาตั้งกล้องในที่ที่เป็นมรดกโลกค่ะ  เราอุตส่าห์เอามาก็ไม่ได้ใช้เลย ยังหาเหตุผลอยู่ว่าเพราะเหตุใด


กวาง (อีกแล้ว)




เราเดินออกจากศาลเจ้าด้วยทางเดิมที่เข้ามา ตรงนั้นเป็นสี่แยก  เยื้องกับศาลเจ้า ก็คือวัดโทไดจิแล้วค่ะ  ซึ่งวัดโทไดจิก็เป็นเป้าหมายต่อไปของเรา

แต่ตอนนี้หิวพอดี  หาอะไรกินก่อน...

ตรงสี่แยกนี้ถือเป็นที่กระจุกตัวของสถานที่ท่องเที่ยวในนาราเลยค่ะ  หน้าวัดโทไดจิจึงเป็น Community Mall ขนาดใหญ่  แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านอาหารเสียมาก  ที่สำคัญ .. เต็มต้องรอคิวทุกร้านเลยค่ะ  นี่ขนาดเป็นเวลา 13.30 น.แล้วนะคะ  เราเลยเลือกร้านที่คิวสั้นที่สุด  แต่ก็อร่อยนะคะ ไม่ผิดหวังเลย

ร้านอาหารญี่ปุ่นนั้น  ใช้คนน้อยมากค่ะ  เค้าทำได้ยังไง.. เท่าที่เราสังเกต  ร้านนี้...เค้าจะให้เราสั่งอาหารตรงประตูทางเข้า  จ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อน  แล้วค่อยไปนั่ง  จากนั้นก็รออาหาร  ซักพักก็มีพนักงานมาเสิร์ฟ  น้ำเปล่ากับน้ำชาบริการฟรี แต่ต้องหยิบเองรินเองนะคะ  บิ๊กชอบนะ..ไม่ต้องมีคนล้อมหน้าล้อมหลังมากมาย   แต่อย่างไรก็ตาม ร้านที่มีพนักงานมารับออร์เดอร์ที่โต๊ะก็มีให้เห็นได้ทั่วไปนะคะ

วันนี้คุณชายสั่ง.... เป็นภาษาญี่ปุ่นค่ะ เลยจำไม่ได้  มาเป็นเซ็ท สรุปจบตั้งแต่เรียกน้ำย่อยยันของหวาน  ของหวานเค้าคล้ายวุ้นมะพร้าวอ่ะค่ะ  ส่วนบิ๊ก..ตอนอยู่เมืองไทยชอบทานหมี่เย็นของฮะจิบัง  เลยลองหมี่เย็นญี่ปุ่นแท้ ๆ บ้าง  อร่อยนุ่มดีค่ะ



กินอิ่มแล้วเดินไปวัด  ไม่ต้องถามทาง เพราะมวลมหาประชาชนต่างก็หลั่งไหลไปวัดนี้  เดินตามเค้าไปได้เลย


วัดของเค้ามีบรรยากาศคล้ายเมืองไทย คือหน้าวัดก็จะมีขายของกิน  ความเพลินเพลินระหว่างทางอยู่ที่การเยี่ยมชมบู้ทของกินต่าง ๆ ซึ่งน่าสนใจมากค่ะ ตอนนี้อากาศร้อน ควรเริ่มจากบู้ทนี้เลย  แตงแช่เย็นเสียบไม้  เวลากินเค้าจะราดมัสตาร์ดหรือซ้อสมะเขือเทศให้ ตามแต่ชอบ


หมูปิ้ง

 
ทาโกะยากิ


เดินต่อไป

 
ไส้กรอก


หน่อไม้ย่าง  เสียบไม้เช่นกัน


ทาโกะยากิอีกเจ้า


ปลาหมึกย่าง


ข้าวโพดปิ้ง


คล้ายวาฟเฟิ้ลค่ะ



น้องกวางนอนไม่สนใจใคร



ซุ้มประตูนี้มีชื่อว่านังไดมง (Nandaimon)




เห็นเสาก็น่าเกรงขามแล้วค่ะ



เทพเจ้าน่ากลัวจริง  ท่านแกะด้วยไม้  และมีตาข่ายขึงเลย ท่าทางจะมีปัญหากับนกพิราบเหมือนบ้านเราแน่ ๆ




ยังค่ะ..ยังไม่ถึงองค์พระ  เดินชมของกินต่อค่ะ


มันเผา  ของเค้ากินกับน้ำจิ้มได้หลายอย่าง  กลับเมืองไทยว่าจะลองกินกับน้ำจิ้มพวกนี้ดูบ้าง



ปาเป้าค่ะ   ปาเป้าของเค้าไม่ต้องลุ้นว่าจะได้อะไร  เพราะเค้าเอาของมาตั้งเป็นเป้ากันเลย  อยากได้อะไรก็ยิงเอาได้เลยค่ะ


ก่อนเข้าองค์พระ ด้านซ้ายมีพิพิธภัณฑ์ แต่ไม่ได้เข้าไปค่ะ


วัดนี้น่าจะเป็นวัดสำคัญ และวันนี้น่าจะเป็นวันมีพิธีอะไรสักอย่าง  ตลอดทางจะมีป้ายประดับประดา  และมีผู้คนแต่งกายเป็นทางการ คล้ายมาร่วมงานนี้  ชายสวมสูท  หญิงสวมกิโมโน



แพ้กิโมโนก็ต้องขอเค้าถ่ายรูปตามระเบียบค่ะ


ขนมที่โดเรม่อนชอบกินใช่มั๊ยเอ่ย  ขอลองชิมบ้าง


ไส้ถั่วแดงค่ะ  อร่อยดีเหมือนกัน


บรรยากาศรอบนอกสวย  ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีคงสวยมาก



ผ่านประตูเข้ามาแล้วค่ะ  ตอนถ่ายรูปนี้ตะลึงอยู่ประมาณ ห้านาที  ดูจากในภาพอาจจะรู้สึกว่าไม่ใหญ่เท่าไหร่ใช่ไหมคะ  แต่ความรู้สึกบิ๊กตอนนั้นก็คือ  ทำไมทัชมาฮาลถึงได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่วัดนี้ "ใหญ่" กว่าทัชมาฮาลมากกกก...  ลองเทียบขนาดกับตัวคนดูสิคะ....



ถ่ายรูปเพื่อเป็นเกียรติ  กับสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาเรา



วัดโทไดจิ (Todaiji) หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวัดหลวงพ่อโต เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองนารา สร้างขึ้นใน ค.ศ. 743 หรือพันกว่าปีมาแล้ว วัดนี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกเมืองนารา เป็นสิ่งปลูกสร้างจากไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในวัดมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น หรือที่คนไทยเรียกว่าหลวงพ่อโต มีความสูงถึง 16 เมตรหนัก 500 ตัน
(ข้อมูลจาก http://www.emagtravel.com/archive/nara-trip.html)



ในประเทศญี่ปุ่นจะมีพระพุทธรูปอยู่ 2 ที่ ที่มีขนาดใหญ่ และเป็นที่นับถือ
1. พระพุทธรูปหลวงพ่อโต วัดโทไดจิ
2. พระใหญ่ไดบุตซึ เมืองคามาคุระ

ซึ่งเราจะได้ไปคามาคุระในอีก 3 วัน  อดใจรอนะคะ



ซื้อบัตรเข้าชม 500 เยน

เข้ามาด้านในแล้วค่ะ  พระองค์โต สมชื่อหลวงพ่อโต


ความสูงของพระพุทธรูปสูงถึง 16 เมตร หรือประมาณตึก 3 ชั้น ที่ด้านข้างซ้ายก็มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่อีกองค์หนึ่ง




เนื่องจากทุกอย่างทำด้วยไม้  จึงเกิดเพลิงไหม้ได้บ่อย  และมีการสร้างใหม่ขึ้นทดแทนมาหลายสมัย



ด้านหลังซ้ายของพระประธาน จะมีเสาอยู่ต้นหนึ่งมีรูที่ด้านล่างเสา มีความเชื่อว่าถ้าใครลอดเสาจะมีแต่ความโชคดี  พ่อแม่ต่างพาลูกหลานมาลอดกันสนุกสนาน








กลับออกมาแล้ว จึงพบว่าด้านหน้ามีพระไม้ คลุมผ้าแดง  ถ้าตามที่ชิอากิบอก พระองค์นี้ก็น่าจะอุทิศให้วิญญาณเด็กที่เสียชีวิต



จบวัดหลวงพ่อโตแล้ว พร้อมกับฝนลงเม็ดแปะ ๆ  แต่ลงมาได้ 3 แปะก็หยุด   ที่ไม่หยุดคือลมกรรโชกแรง  พร้อมหอบไอฝนมาด้วย  ลมที่นาราน่ากลัวมาก 

ตามข้อมูล ที่ต่อไปคือวัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji) หรือวัดเจดีย์ 5 ชั้น ห่างจากวัดโทไดจิก็ระยะทาง 3 ป้ายรถเมล์  แต่คุณชายเสนอว่า อยากนั่งรถเมล์ชมเมืองนารามากกว่า  เพราะเรามีบัตรผ่านทั้งวัน  ซึ่งบิ๊กก็เห็นด้วย เพราะมันมีสายหนึ่ง เขียนว่า Nara loop line นั่งสายนี้ยังไงคงไม่หลง เพราะมันคงกลับมาที่เดิม  ตกลงกันดังนั้นแล้วก็เดินไปขึ้นรถเมล์หน้าวัด


ผู้หญิงข้างหน้าเราใส่กิโมโนเห็นมั๊ยคะ



ชมเมืองนารากันค่ะ










เรานั่งมาจนเหลืออีก 3 ป้ายจะถึงสถานี JR Nara  รถจอดป้ายที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่  คุณชายเธอชอบอยู่แล้วจึงชวนลงป้ายนี้ทันที  คนเยอะ คึกคักมาก  เราเดินมาตามถนน  ร้านรวงมากมายขายของน่าซื้อทั้งนั้น  เดินเข้าเดินออก สนุกดี  เดินจนไปโผล่ด้านหลังศูนย์การเค้า  เจอถนนคนเดินอีกถนนหนึ่ง บรรยากาศเรโทร น่าเดินมาก  เราก็เดินไปเรื่อยๆ  รอบตัวจะเห็นได้ว่ามีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลย

ทันใดนั้นก็เกิดความฮือฮา เมื่อพ่อค้าร้านหนึ่งออกมาตะโกนอะไรก็ไม่รู้หน้าร้าน  แต่มหาชนก็เข้าแถวกันประหนึ่งจะมีของแจกฟรี  พ่อค้าอีกคนขึ้นป้าย 130 เยน  เค้าขายอะไรก็ไม่รู้แหล่ะ  แต่ในสถานการณ์นั้น..มันต้องไปต่อแถวกับเค้าด้วย !!!





เฉลยแล้วค่ะว่าเค้าขายอะไรกัน... เป็นขนมโมจิชนิดหนึ่งนั่นเอง



 
ทานกันร้อน ๆ อร่อยดีค่ะ


 
ทานเสร็จเราก็เดินกันต่อ  ผ่านย่านจอแจแล้ว คนก็จะน้อยลง ภูมิประเทศที่เดินขึ้นเขา และมีดอกไม้เป็นระยะ ๆ อากาศเย็น ๆ น่าเดินมากค่ะ


ผ่านศาลเจ้า


ถ่ายรูปกับต้นไม้สวย ๆ




ถนนนำเรามาสู่ทะเลสาบแห่งหนึ่ง  มีผู้คนมาเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจ





ด้านซ้ายของทะเลสาบ เรามองไปเห็นทางขึ้น...อืมมม..น่าจะเป็นทางขึ้นวัดนะ  คุณชายแซวเล่น ๆ ว่า  "อย่าบอกนะ ว่าเป็นวัดเจดีย์ 5 ชั้น"  อยากรู้ต้องเดินไปดูป้าย  ปรากฎว่า..ฮาจริงอะไรจริง  วัดเจดีย์ 5 ชั้นจริง ๆ ด้วยค่ะ  แต่เป็นด้านหลัง  ในที่สุดก็วนมาที่วัดนนี้จนได้




วัดเจดีย์ 5 ชั้นสมชื่อค่ะ



วัดโคฟุคุจิ (Kohfukuji) เป็นวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่งของเมืองนารา สร้างขึ้นใน ค.ศ.710 ปัจจุบันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก สัญลักษณ์ที่โดเด่นของวัดนี้ได้แก่เจดีย์รูปทรง 5 ชั้น ขนาดสูง 51 เมตร จากประวัติของวัดนี้ วัดนี้ได้ถูกสร้าง และ ทำลายอยู่หลายครั้งกว่าจะมาเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
(ข้อมูลจาก http://www.emagtravel.com/archive/nara-trip.html)






 
จบแล้วค่ะ  หนึ่งวันที่นารา  เรากลับไปนั่งรถเมล์หน้าวัด  ต่อไปอีก 3 ป้ายก็ถึงสถานี JR Nara  นั่งรถไฟกลับทางเดิม

ระหว่างทางบนรถไฟ ผ่านโดมเคียวเซร่า ซึ่งเราเห็นจากปราสาทโอซาก้าเมื่อวันก่อน

 




กลับถึงสถานี Shin Osaka  ก็แวะดูตามร้านขายของต่าง ๆ  เย็น ๆ อย่างนี้อาหารกล่องจะเริ่มมีติดป้ายลดราคากันแล้ว ลด 30% บ้าง  50% บ้าง   เราเลยลองซื้อกลับมากันดู  ซื้อมาตุนเผื่อไว้สำหรับมื้อเช้าพรุ่งนี้ด้วย  เราซื้อสตรอเบอรี่มาจากถนนคนเดินในนาราด้วยนะคะ  ลูกใหญ่ สดดีค่ะ

วันนี้กลับถึงโรงแรมประมาณ 6 โมงเย็นเองค่ะ  เลยได้โอกาสไปลองออนเซ็นญี่ปุ่นสักหน่อย เป็นประสบการณ์อันมีค่ามากทีเดียว  ก่อนอื่นต้องอ่านและทำความเข้าใจกฎ กติกา มารยาทการใช้ออนเซ็นต์ก่อน และทำตามอย่างเคร่งครัด


เห็นข้อ 1 มั๊ยคะ  ต้องปฏิบัติตามค่ะ  ฝรั่งบอก When in Rome, do like the Roman do  ไทยมีว่า เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม  วิธีการหลิ่วตาก็ไม่ยาก  แค่สังเกตว่าคนทั่วไปเขาทำกันอย่างไร  ก็ทำอย่างนั้นแหล่ะ  อย่าไปมัวเหนียมอาย จะกลายเป็นจุดสังเกตและศูนย์รวมสายตา  เอ้า..เขาให้ถอดก็ถอด  ทุกคนเขาก็ถอดกันทั้งนั้น  มันจะไปแปลกอะไร  อีกอย่าง..หน้าตาเราก็เนียนเป็นคนญี่ปุ่นได้อยู่แล้ว  สบายมาก 

ในออนเซ็นนั้น  เมื่อเข้าไปถึงก็จะเป็น ล็อคเกอร์สำหรับใส่ของมีค่า  ถ้าไม่มีอะไรมีค่าก็จะมีช่องรังนกกระจอกให้  เราก็ถอดเสื้อผ้าเรา "ทั้งหมด" ตรงนั้น  ข้าง ๆ ก็มีเพื่อนสาวอีกหลายคนกำลังถอดอยู่เหมือนกัน มันจะไปแปลกอะไร  ถอดแล้วก็สบายตัวดีออก  ที่สำคัญ..ไม่มีใครมองใคร

ถอดเสื้อผ้าแล้ว ก็ผลักประตูเข้าสู่บ่อน้ำออนเซ็นต์เลย เค้ามีประตูกั้น  เข้าไปถึงก็อาบน้ำก่อน  ที่อาบน้ำเป็นแบบนั่งอาบ มีเก้าอี้ซักผ้าให้  พร้อมฝักบัวน้ำร้อนเย็น  อาบตามสบาย ทำความสะอาดตัวก่อน  จากนั้นทำตามกฎข้อ 2  คือให้ตักน้ำออนเซ็นราดตัวเพื่อปรับร่างกาย  ตรงนี้เค้าก็มีให้เลือก คือมีบ่อเล็ก ๆ พร้อมขันให้  แต่ถ้าใครไม่ชินกับการตักราด  จะอาบจากฝักบัวก็ได้  บิ๊กอาบมันทั้งสองแบบ  แล้วก็เดินยุรยาตรลงบ่อออนเซ็นได้  เฮ้อออ...อุ่นดีจริง ๆ  สบายตัวดีอ่ะ   ที่สำคัญคนญี่ปุ่นมารยาทดี  เข้ามาแล้วเค้าจะเงียบ ถ้าจะคุยกันก็เบามาก ๆ  แช่ออนเซ็นสามารถทำสมาธิได้เลยนะนั่น  ระหว่างทางก็จะมีทั้งสมาชิกเก่าลุกไป สมาชิกใหม่ก็เข้ามาเรื่อย ๆ  ทุกคนใส่ชุดวันเกิดเหมือนกัน เป็นเรื่องธรรมดามากทีเดียว

บิ๊กแช่อยู่ประมาณ 20 นาที  สบายตัวดีมาก  ขึ้นจากบ่อแล้วก็มาอาบน้ำ  เดินออกจากประตูมาตรงหน้าล็อคเกอร์  ตรงนั้นก็จะเป็นที่เช็ดตัว ทาโลชั่นอะไรก็ว่าไป  แล้วก็แต่งตัว  กลับขึ้นห้องพัก  ซักพักคุณชายก็มา (ออนเซ็นแยกเพศค่ะ)  ตื่นเต้นเล่าบรรยากาศห้องผู้หญิงให้คุณชายฟังใหญ่  คุณชายไม่ตื่นเต้น เพราะเค้าบอกว่า ที่สนามกอล์ฟผู้ชายก็แก้ผ้ากันอย่างนี้อยู่แล้ว 

จบวันสุดท้ายในโอซาก้าด้วยความสบายกายและสบายตัว  เป่าผมเสร็จก็ทานอาหารกล่องที่ซื้อมา  ส่วนของมื้อพรุ่งนี้เช้าตัดสินใจไม่ต้องแช่ตู้เย็น เพราะอากาศข้างนอกใกล้เคียงตู้เย็นแล้ว  คืนนี้หัวถึงหมอนปุ๊บ หลับเป็นตาย  พร้อมตื่นขึ้นมา Say goodbye ให้โอซาก้าในเช้าวันรุ่งขึ้นค่ะ





3 comments:

  1. เข้ามาอ่านรีวิวครูบิ๊ก เก็บรายละเอียดได้เยอะมากครับ กวางที่เมืองนารานี่แย่งอาหารเก่ง ของผมยื่นให้ไม่ทันใจยกขาหน้าขึ้นมา เอาปากมางับเลย เสียดายว่าผมไม่ได้ไปแช่ออนเซ็นเลย ครั้งหน้าคงต้องไปลอง

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากที่ให้เกียรติแวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะคุณ admin สามารถติดตามต่อไปจนครบทริปเลยนะคะ เพราะจากโอซาก้าบิ๊กก็เข้าโตเกียว พอเข้าโตเกียวทริปเราก็จะไม่เหมือนกันแล้ว มีประเด็นไหนจะแนะนำก็ยินดีนะคะ

      Delete
  2. รอติดตามต่อครับ บางที่ถึงจะเที่ยวเหมือนกับครูบิ๊ก แต่บรรยากาศและรายละเอียดก็มีแตกต่างกับที่ผมไป ครูบิ๊กเป็นคน friendly ดีนะครับ ได้ถ่ายรูปกับคนญี่ปุ่นมาเยอะเลย

    เดี๋ยวปีหน้าว่าจะเก็บตังค์ไปเที่ยวต่อครับอยากไปช่วงซากุระ

    ReplyDelete