Thursday, June 5, 2014

โอจิจังกับโอบะจัง ลากกระเป๋า เที่ยวญี่ปุ่นนเอง 10 วัน : วันที่ 5 กลับโตเกียว และวันที่ 6 ดาวน์ทาวน์โตเกียว

 

วันที่ 5 กลับโตเกียว

ฮ้า...และแล้ววันสุดท้ายในโอซาก้าแล้วเหรอเนี่ย  ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกเลย ตื่นตามที่ร่างกายอยากตื่น ก็เจ็ดโมงกว่า ๆ  โรงแรมเค้ามีกำหนดเช็คเอ้าท์ไม่เกิน 11 โมง  ก็คิดว่าคงใช้เวลาเต็มพิกัด  วันนี้ทั้งวันเราอุทิศให้กับการเดินทางกลับโตเกียว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรีบ  ตื่นมาก็อาบน้ำ เก็บของ แล้วก็ทานอาหารที่ซื้อไว้  อื้มมม..ยังอยู่ในสภาพดี เพราะอากาศเย็นเกิ๊นนน  เหมือนตู้เย็นเลย



เผยให้เห็นห้องพักสักหน่อย  เป็นไงคะ  เล็กและอบอุ่นดีมั๊ยคะ  แต่ยังคงย้ำว่า บิ๊กชอบนะ...


นี่โรงแรมของเราค่ะ  เก็บของเสร็จแค่เก้าโมงเอง  เลยตัดสินใจว่าจะใช้เวลาที่เหลือเดินเล่นรอบ ๆ โรงแรมดีกว่า เราไปดูบรรยากาศกันเลยนะคะ


หน้าโรงแรมเงียบสงบดีนะคะ  สีดำนั้นคือแท็กซี่ค่ะ


เราเดินเล่นไปเรื่อย ๆ


คุณชายชอบระบบที่จอดรถหยอดเหรียญของเค้า


ลองเดาราคาค่าจอดรถกันดูนะคะ



สังเกตอย่างนึงค่ะว่าบนทางเท้าเค้าจะมีกระเบื้องลายอย่างนี้ประดับอยู่  และทุกเมืองลายกระเบื้องจะแตกต่างกันไปด้วยค่ะ แม้ถนนสายนี้เอง สองฝั่งก็ลายไม่เหมือนกันนะคะ



เดินเข้าไปดูซุปเปอร์มาเก็ตธรรมดา ๆ ของเค้า  มีของสดของแห้งขาย เห็นแล้วอยากทำครัวค่ะ


แพ็คข้าวสารเค้าน่ารักดีนะคะ


ผักสด ผลไม้


ที่ญี่ปุ่นซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเยอะมาก มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงและขายดีแทบทุกร้าน ทั้งนี้เพราะชาวญี่ปุ่นจะอยู่เป็นครอบครัวเล็ก และเดินทางด้วยรถไฟ ที่จะไปห้างแล้วหอบของกันขึ้นท้ายรถยนต์นั้นเห็นจะเป็นไปไม่ได้  ต้องอาศัยซื้อทีละน้อย ๆ หิ้วง่าย ๆ หมดก็ซื้อใหม่


นี่คือฟู้ดคอร์ทค่ะ


เบนโตะเค้าน่าทานทุกร้านเลย



แม็คโดนัลด์ (ลุงกับป้าไม่ได้วิ่งเข้าแม็คฯ เลย แปลว่ากินอาหารท้องถิ่นได้อร่อยทุกมื้อ ฮ่าฮ่า)


ขากลับโรงแรมเดินอีกฝั่งหนึ่งของถนน สังเกตว่ากระเบื้องปูทางเท้าก็เปลี่ยนรูปไปอีกแล้ว


นี่..อันนี้ชอบมากเลยค่ะ  ชาวญี่ปุ่นขี่จักรยานกันเป็นเรื่องปกติมาก  อาคารจึงมีลิฟท์สำหรับจักรยานด้วยค่ะ  อำนวยความสะดวกกันเต็มที่อย่างนี้ ถ้าเป็นบิ๊กก็คงขี่จักรยานเหมือนกันแหล่ะค่ะ


เดินเล่นรอบโรงแรมกันพอหอมปากหอมคอ กลับมาโรงแรม 11 โมงพอดี เราก็เช็คเอ้าท์ออก ร่ำลาโอซาก้า ขึ้น subway กลับสู่สถานีชินโอซาก้า  มุ่งหน้าโตเกียวที่ซึ่งเราจะไปพักอีก 5 คืน  ที่บ้านของพี่จูน เจ้าของร้านอาหารไทย Thani Kitchen อยู่สถานี JR Omori,  เมื่อคืนก่อนหน้าบิ๊กได้ไลน์สอบถามพี่เค้าถึงวิธีการเดินทาง ก็พบว่า ไม่ต้องนั่งชินกันเซ็นเข้าไปถึงโตเกียว  สามารถลงที่สถานี Shinagawa แล้วต่อรถมา Omori อีกไม่กี่ป้ายเท่านั้นเอง

ถึงแล้วค่ะ สถานีชินกันเซ็น  ถึงจะเห็นกี่รอบก็อดตื่นเต้นกับรถไฟนี้ไม่ได้ ชื่อเป็นทางการเค้าเรียกรถไฟหัวกระสุน แต่บิ๊กอยากเรียกรถไฟหัวเป็ดมากกว่า ก็มันเหมือนนิ!!






ขากลับนี้เราได้ตู้ที่ 15 ค่ะ



ตู้ค่อนข้างว่างก็ถ่ายรูปกันหน่อย  เบาะเค้าสามารถกลับทิศทางได้นะคะ


ที่พื้นจะเห็นที่เสียบชาร์จอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคส์ค่ะ


ขณะนี้เวลาเที่ยงกว่า ๆ แล้ว  เราก็ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ คือซื้อข้าวกล่องขึ้นมาทาน  วันนี้บิ๊กทานข้าวปั้นหน้าปลา ห่อด้วยใบไม้  เห็นถึงความประณีตในการห่อทีเดียวค่ะ



ข้าวหอมกลิ่นใบไม้มาก


ขากลับนี้เราเหนื่อยกันมาก ก็เลยหลับซะค่อนทาง ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปทิวทัศน์เท่าไหร่ค่ะ




ตื่นมาเจอน้องพนักงานขายเครื่องดื่มหน้าตาน่ารักมาก  เราเลยอุดหนุนเธอ 2 แก้ว  เธอเสนอที่จะถ่ายรูปคู่ให้เรา  น่าวร้ากกกอ่ะว์!!!




ทุกท่านคงยังจำกันได้นะคะ  ว่าชาวญี่ปุ่นมีมารยาทที่ว่า จะไม่คุยโทรศัพท์บนรถไฟเด็ดขาด  แต่ชินกันเซ็นเดินทางยาว ใช้เวลานาน คนอาจมีธุระปะปังกันได้  เค้าก็จะมีพื้นที่เอาไว้ใช้คุยโทรศัพท์โดยเฉพาะ  ไม่ถึงขนาดเป็นห้อง แต่เป็นพื้นที่ระหว่างตู้ต่อตู้น่ะค่ะ  ต้องออกไปแล้วปิดประตูตู้ก่อน ถึงจะคุยได้    ส่วนห้องที่เห็นนี้เป็นห้องสำหรับสูบบุหรี่ค่ะ  บิ๊กว่ามันดีมากทีเดียว คือรมควันกันเอง อย่าให้ควันออกมารมคนอื่นได้


เรามาลงที่สถานี Shinagawa แล้วต่อสายสีเขียวมาลง Omori  พี่จูนมารับเราที่สถานีเลยค่ะ  เรามาถึงที่นี่ประมาณ บ่ายสามครึ่งค่ะ


พี่จูนพาเดินดูโดยรอบสถานี มีร้านไดโซขนาดใหญ่  ห้างสรรพสินค้า  น่าเดินมากค่ะ  แล้วพี่จูนก็ขับรถพากลับบ้าน


ย่าน Omori บิ๊กว่าเป็นย่านที่น่าอยู่มากนะคะ  มีส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความคึกคักและความเงียบสงบ  พี่จูนเล่าว่าตอนตัดสินใจย้ายมาอยู่บริเวณนี้ได้ตระเวนดูหลายที่ แต่พบว่าที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้ชีวิตครบสำหรับทุกวัย มีโรงเรียนลูก และที่ดูแลผู้สูงอายุ  ที่สำคัญ เดินทางไม่เกิน 30 นาทีจากที่ทำงานพี่จูน



มาถึงแล้วค่ะ....ร้าน Thani Kitchen  ร้านอาหารไทยแสนอร่อยเป็นอันเองในย่าน Omori  เดินมาจากสถานีเพียง 10 นาทีเท่านั้นเองค่ะ





ที่นี่เป็นทั้งร้านที่บ้านของพี่จูนด้วย  ร้านอยู่ชั้น 2,  ชั้น 3-5 เป็นที่พักค่ะ  พี่จูนเมตตาให้เราพักชั้น 5 ซึ่งเป็นห้องลูกชายของพี่จูน  ขณะนี้น้องเรียนด้านการออกแบบอยู่ที่อเมริกา  เราสองคนอยู่สบายมากจริง ๆ ค่ะ  ขอบคุณมากนะคะพี่จูนและโอโต้ซัง


ช่วงนี้เป็น Golden week ซึ่งผู้คนจะหยุดทำงาน บรรยากาศที่เราไปก็จะค่อนข้างเงียบ  เมื่อกี้ตอนอยู่สถานี พี่จูนแนะนำร้านอาหารชื่อ Yoshinoya  มีมาเปิดสาขาในไทยด้วย  ในไทยดูไฮโซเชียว แต่จริง ๆ ที่นี่คือร้านที่เป็นกันเอง  ทานได้ทุกเพศทุกวัย ราคาเป็นมิตร  มื้อเย็นวันนี้เราเลยทดลองทานร้านนี้ค่ะ  ก็ใช้ระบบเดิม คือ ไปหยอดตู้ เอาตั๋วมายื่นที่เค้าน์เตอร์แล้วรออาหาร  อร่อยคุ้มเชียวค่ะ  ชอบ ๆ ...



ที่ร้ายพี่จูนได้พบกับกุ๊กชาวไทย 2 ท่าน ชื่อพี่ลำไยและพี่โอเล่  ฝีมือทำอาหารพี่อร่อยมากค่ะ  และที่ร้านก็ปลูกผักสวนครัวด้วย ไส้กรอกอีสานก็หมักเองนะคะ  ไม่เชื่อเชิญมาชิมค่ะ

ไปพบตารางนี้แปะอยู่ที่ร้านพี่จูน  เข้าใจว่า..ชาวญี่ปุ่นคงมีตารางในการทิ้งขยะ  ว่าวันไหนทิ้งขยะประเภทใด  มีระเบียบจริง ๆ ค่ะ


เดินเล่นต่ออีกหน่อย


วันนี้เป็นวันอาทิตย์  ชิอากิโทร.มาตั้งแต่ตอนอยู่บนชินกันเซ็นว่า  ครอบครัวเค้าพามากิมาสวนที่มีม้า (ย่าน Yoga) และสวนนี้อยู่ใกล้ Omori เลยจะมาหาเรา และทานข้าวที่ร้านพี่จูน  น่ารักมากเลยเพื่อน  รู้สึกประทับใจเค้ามาก  และในที่สุดก็ได้พบกันอีกครั้ง  พร้อมทั้งได้พบคุณซูซูมุ สามีพี่จูน, ซึ่งเราเรียกว่า โอโต้ซัง แปลว่าคุณพ่อค่ะ

คณะเราเลยเฮฮาทานอาหารที่ร้านพี่จูน  มากิตัวน้อยชอบผัดซีอิ้วมาก กินหมดสองจานเลย  หัวข้อสนทนาส่วนมากเป็นไปเพื่อช่วยลุงกับป้าวางแผนว่าวันรุ่งขึ้นจะไปเที่ยวไหนดี  คุยตั้งนานสองนานจนพี่จูนแซวว่า ได้ที่เที่ยวรึยัง  เรามีธงในใจว่าอยากไปฮาราจูกุ เลยได้ทราบจากทุกฝ่าย (ชิอากิ พี่จูนและโอโต้ซัง) ว่า ตอนนี้ CosPlay ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วล่ะ ไม่มีมานานแล้วด้วย  แต่เป็นย่านที่คึกคัก  ยังไงบิ๊กก็อยากไปอยู่ดี 

สรุปมาได้คำแนะนำจากพี่จูนว่า พรุ่งนี้ควรไปวัดเมจิจินกุ  ฮาราจูกุ ชิบุย่า และ ชินจูกุ,   พรุ่งนี้ยังคงเป็นวันหยุดสุดท้ายของชิอากิ  ดังนั้น ช่วงบ่าย-เย็นเค้ามาจอยน์ได้  ชิอากิบอกว่าจะถามแม่ดูก่อน ว่าจะพาเราไปบ้านแม่เค้าได้มั๊ย แล้วทำอะไรทานกัน  ดีใจ ๆ  ค่ะ  ไปส่งชิอากิแล้วนอนเอาแรง


วันที่ 6  โตเกียวดาวน์ทาวน์

วันนี้วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม 2557  ทุกท่านจำได้ไหมเอ่ยว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น  ถูกต้องค่ะ...แผ่นดินไหวใหญ่ซึ่งสร้างความเสียหายให้จังหวัดเชียงรายอย่างมาก  โอบะจังกับโอจิจังก็ได้ประเดิมประสบการณ์เช้าวันแรกในโตเกียว ด้วยการถูกปลุกโดยแผ่นดินไหวค่ะ  ขณะนั้นเป็นเวลาตีห้า  เหมือนมีคนมาเขย่าเตียงก็เลยงัวเงียตื่นกัน  ตั้งสติได้ก็หันมามองหน้ากันว่า "แผ่นดินไหวแน่แล้ว"  ตอนนั้นไม่ได้กลัวเลยนะคะ แต่ตื่นเต้นมากกว่าที่ได้สัมผัส Japanese Earthquake!!!!

แผ่นดินไหวอยู่ประมาณ 5 นาทีได้ค่ะ แล้วก็สงบไป  ไม่มี After shock  ทราบจากชิอากิในเย็นวันนั้นว่า ญี่ปุ่นมีมาตราวัดแผ่นดินไหวของเขาเอง ที่ไม่ใช่มาตราริกเตอร์แบบที่คนไทยคุ้นเคย  ชิอากิบอกว่า อย่างเมื่อเช้านี้คือระดับ 4 ซึ่งแปลว่า "ยังชิลล์อยู่"  อย่างไรก็ตาม รถไฟบางเส้นได้รับความเสียหายเหมือนกัน สังเกตที่เรานั่งรถไฟวันนี้ ดูตารางการวิ่งรถแล้วพบว่าบางสาย Delayed caused by earthquake

เมื่อคืนตอนเถียงกันว่าจะไปไหนดี  โอโต้ซังบอกว่า มีศาลเจ้าอยู่แถวบ้านนี่เอง ที่อายุมากกว่าวัดเมจิที่เราจะไปวันนี้อีก  แถมยังมีพิพิธภัณฑ์หอยด้วยนะ  เราเลยตัดสินใจเดินไปดูศาลเจ้ากัน ชื่อว่าคาชิมา จินจะค่ะ



วันนี้อากาศหนาวมากค่ะ  เราดูพยากรณ์อากาศว่าจะมีฝนด้วย เลยตัดสินใจยอมหนักหน่อย พกร่มที่ชิอากิให้ยืมมาไปด้วย เป็นการตัดสินใจที่ถูกมาก เพราะเจอฝนจริง ๆ ระหว่างวันค่ะ  เจอฝนที่ไหนก็ดูจากภาพได้ค่ะ 


 







มีผ้าแดงผูกอีกแล้ว  อุทิศให้เด็กที่เสียชีวิตอีกแล้วสิ



ออกจากศาลเจ้าก็ยังคงเดินอยู่รอบ ๆ แถวบ้านพี่จูน  นี่คงเป็นเนิร์สเซอรี่ หรือโรงเรียนอนุบาล



 
เดินกลับมาผ่านบ้านอีกครั้ง พบโอโต้ซังพาน้องหมาชื่อ "แมรี่" มาเดินเล่น  ถ่ายรูปกับเจ้าของบ้านค่ะ

 


ราคาการทำผมที่ญี่ปุ่น


มีศาลเจ้าอีกแห่งหนึ่งด้วย






ที่เที่ยวอีกแห่งที่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ คือพิพิธภัณฑ์หอยค่ะ  แต่เข้าไปจะไม่มีหอย แต่เป็นอนุสรณ์สถาน,  ในช่วงแรกที่มีการตั้งถิ่นฐานในญี่ปุ่น ผู้คนก็มาอยู่แถวนี้กันมาก  มีการทำประมงและทานหอยกันเยอะ เห็นได้จากการขุดค้นพบซากเปลือกหอยเป็นจำนวนมากที่นี่  จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานไว้ค่ะ

เช้าวันนี้นึกไม่ออกว่าจะทานอะไรดี  ฝากท้องที่ KFC แล้วกันนะคะ


เคเอฟซีมีสองชั้น เพราะสถานที่จำกัดมาก ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสิบโมงเช้า เรานั่งริมหน้าต่างแล้วมองไป เห็นปรากฎการณ์อะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มเข้าแถวหน้าห้างนี้เพื่อรอห้างเปิด  ในห้างนี้มีหน่วยการพนัน คล้ายสล็อตแมชชีน ใช้ชื่อว่า Pachinko Palour ค่ะ  (คำว่า เฮฮาปาจิงโกะ...คงมาจากที่นี่ล่ะค่ะ)  เด็กหนุ่มเหล่านี้มาเข้าคิวรอห้างเปิด เพื่อเข้าไปเสี่ยงโชคกัน เพราะที่นี่การพนันตรงนี้เป็นเรื่องถูกกฎหมายค่ะ  ให้สะท้อนใจว่า นี่ขนาดญี่ปุ่นที่เราได้ทราบกันว่า คนเค้ามีคุณภาพนักหนา ยังมีเด็กหนุ่มจำนวนมากตกเป็นทาสของการพนัน  แล้วนี่ถ้าบ้านเราเป็นให้การพนันถูกกฎหมายขึ้นมา นึกไม่ออกเลยว่า..อนาคตของชาติจะเป็นยังไงนะคะ  ทางที่ดี..อยู่ให้ไกลมันเข้าไว้ค่ะ






เอ้า..อย่าเครียด ๆ  มาทานอาหารเช้ากันดีกว่าค่ะ  คุณชายพยายามจะทำหน้าให้ใกล้เคียงโรนัลโด!!!!


 


 
ทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเราก็ตะลุยดาวน์ทาวน์ของโตเกียวกันตามที่วางแผนไว้  ที่แรก ... มุ่งหน้าสู่วัดเมจิจินกุ  เป็นวัดหลวงของราชวงศ์ญี่ปุ่นเชียวนะคะ  ลุงกับป้า amazing ญี่ปุ่นมาก ๆ ณ จุดนี้  เพราะสถานีที่เราจะไปลงก็คือ สถานี Harajuku ค่ะ  วันนี้พอเราได้เที่ยวจึงรู้ว่า สถานีที่มีชื่อเสียงด้านแฟชั่นหลุดโลกนั้น มีวัดหลวงที่สวยงามอยู่ด้านหนึ่ง และมีถนนแฟชั่นอยู่อีกด้านหนึ่งค่ะ  ช่างเป็นความต่างที่ประสมกันได้อย่างลงตัวจริง ๆ ค่ะ

วันนี้ฝนตกพรำ ๆ ขอบคุณชิอากิที่ให้เรายืมร่ม 2 คันตั้งแต่วันแรก  เราออกมาจากสถานีฮาราจูกุแล้วก็มองย้อนกลับไปถ่ายรูปค่ะ  คนเยอะจริงอะไรจริง!!  นี่ขนาดฝนตกนะ



ทางเข้าวัดอยู่ติดสถานีเลยค่ะ  ใกล้อย่างไม่น่าเชื่อ  เดินเข้าวัดกัน


ทางเข้าดูอบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์มากค่ะ




คุณชายชอบกอดเสาในทุก ๆ ที่ที่ไป  เพื่อให้เห็นว่าเสามีขนาดใหญ๋โตแค่ไหน



ศาลเจ้าเมจิจิงกูมีความพิเศษตรงที่ไม่ใช่ศาลเจ้าในลัทธิชินโตธรรมดาหากแต่ เมื่อปี ค.ศ. 1912 สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิสิ้นพระชน พสกนิกรชาวญี่ปุ่นต่างเศร้าโศกเสียใจ
ครั้นปีค.ศ. 1915 ศาลเจ้าแห่งนี้ได้ถูกสร้างเพื่อเป็นที่สักการะบูชา และแล้วเสร็จเมื่อปีค.ศ. 1920 ค่ะ  นอกจากสร้างเป็นที่ระลึกแล้ว ที่นี่ยังเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้ของญี่ปุ่นด้วยค่ะ

ศาลเจ้าเมจิจิงกู ยังถือได้ว่าเป็นศาลเจ้าประจำโตเกียวนะคะ
ใครที่มีโอกาสได้มาโตเกียวต้องมาสักการะ

สังเกตดูที่เหนือเสา หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่าโทริอิ
มีดอกคิขุ หรือ ดอกเบญจมาศอันสัญลักษณ์ของตราแผ่นดินประดับอยู่


(ข้อมูลจาก http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=fahtsuki&month=01-2009&date=26&group=3&gblog=60)

เดินจากเสาโทริอิเข้ามาจะเป็นสถานที่จัดนิทรรศการ  พิพิธภัณฑ์และที่ขายของที่ระลึกค่ะ  โอบะจังกับโอจิจังได้สั่งทำตะเกียบสลักชื่อเราสองคนเป็นภาษาญี่ปุ่นที่นี่  เลยได้ความรู้ในการเลือกตะเกียบด้วยค่ะ ว่าตะเกียบควรยาวเท่าไหร่  วัดจากสรีระของเรา



บริเวณนี้มีห้องจัดเลี้ยงด้วยค่ะ  ส่วนมากคงรับจัดงานแต่งงาน เพราะเห็นมีส่วนจัดแสดงเรื่องนี้อยู่ด้านหน้า  เจ้าสาวต้องสวมกิโมโนสีขาว  สวยจังเลย



ได้เจอกับเรื่องสุดเซอร์ไพร้ส์ที่หน้าวัดเมจิจินกุ  ลุงกับป้าคิดในใจว่า Maybe Tokyo is the place to meet long lost friend!!!  จริง ๆ นะคะ นี่โลกมันแคบนักหรือไงนะ  บิ๊กได้พบกับเพื่อนปริญญาโทซึ่งไม่ได้พบกันมา 5-6 ปีที่หน้าวัดนี้ล่ะค่ะ  และขณะที่กำลังเม้าส์มอย ถ่ายรูปกันอยู่นั่นเอง   น้องที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ด้วยกันที่หอการค้าก็เดินเข้ามาทักอีก!!!  โลกกลมจริง ๆ เลยค่ะคุณ...

ถ่ายรูปกับเพื่อนหน้าถังสาเกเสียหน่อย



ผ่านเสาอีกเสาหนึ่ง


ระหว่างทางเหมือนเค้าจะมีนิทรรศการ แสดงประวัติของวัดไปด้วย  รูปร่างนิทรรศการสวยมากเลยนะคะ  ดูเหมือนใบไม้



บอร์ดนี้บิ๊กชอบมากอ่ะค่ะ  นี่คือบอร์ดรวบรวมพันธุ์ไม้และพันธุ์สัตว์ที่พบในวัดเมจิจินกุแห่งนี้  มองเห็นคุณชายกันมั๊ยคะ???  เจ๋งอ่ะ..เค้าออกแบบให้ตัวเราเข้าไปอยู่ในนั้นได้ด้วย


เผื่อใครยังไม่เห็น  ซูมเข้ามาให้เห็นหน่อย


แล้วเห็นบิ๊กอยู่ในนั้นมั๊ยคะ


ด้านหลังเป็นส่วนของโบสถ์ประธานแล้วค่ะ


นักท่องเที่ยวเยอะมากค่ะ


นี่คือมคทายกค่ะ  เพราะท่านจะประกาศอะไรอยู่ตลอดเวลา



ต้นไม้ใหญ่มาก ๆ  และกลมดิกเลยค่ะ  จัดแต่งได้ดีจริง ๆ มีเยาวชนมาโบกธงอะไรสักอย่าง


สาวน้อยชาวญี่ปุ่น


 
ตอนที่เราไปถึง เหมือนมีพิธีทางศาสนาหรือข้องเกี่ยวกับราชสำนักแน่นอนค่ะ  เพราะบรรยากาศดูเป็นทางการและอลังการมาก ๆ  ใช้ซูมสุดชีวิต  ได้ภาพมาประมาณนี้นะคะ
 


ดูแล้วขนลุกมากเลยค่ะ




ช่างเหมือนกับที่เราเห็นในหนังและการ์ตูนอิคิวซังเลยอ่ะค่ะ


นี่คือบริเวณห้องจัดเลี้ยงซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน



โดยรอบมีการจัดแสดงผลงานของผู้เข้าประกวดจัดดอกไม้ให้ได้ชมกัน  บิ๊กมาสังเกตดูว่า ญี่ปุ่นจะจัดลงในแจกัน  แต่ของไทยเราจะร้อยเป็นพวงมากกว่า ต่างก็มีความน่าทึ่งแตกต่างกันค่ะ  มาชมผลงานสวย ๆ กัน








ผู้ที่เข้าร่วมพิธีกำลังเดินเป็นแถวออกมา  นักท่องเที่ยวรอถ่ายรูปกันใหญ่เลย  ตื่นตาตื่นใจมากค่ะ  เหมือนตัวละคนในการ์ตูนที่เคยเห็น โดดออกมามีชีวิตจริง ๆ




รองเท้าเค้าน่าสนใจมากค่ะ  เป็นรองเท้าไม้ และต้องมีหมอนเล็ก ๆ รอง  คงใช้ประโยชน์ทั้งกันเจ็บและทำให้รองเท้ากระชับกับเท้าด้วยนะคะ




ไฮไลท์เด็ดสุดน้องนี่ค่ะ   ในสวนของวัดซึ่งบรรยากาศดีมาก  มี Wedding studio มาถ่ายภาพแต่งงานด้วยค่ะ  รู้สึกดีมากที่ได้เห็นส่วนหนึ่งของพิธีแต่งงานญี่ปุ่น  สวยงาม เรียบง่าย แต่ให้ความรู้สึกลึกลงไปถึงความเป็นชาติของเค้าได้ดีมากทีเดียวค่ะ 


นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันเยอะมากเลยค่ะ  เจ้าบ่าวเจ้าสาวคงภูมิใจมาก


นี่เจ้าหน้าที่เข้ามาจัดชุดให้เจ้าสาวนะคะ (ตอนแรกบิ๊กนึกว่าเจ้าบ่าว!!)



ถ่ายรูปหมู่  สังเกตเจ้าบ่าวเกือบยืนหลับ  โถ..ถ่ายรูปแต่งงานเนี่ย ต้องให้ความใส่ใจกับความงามของเจ้าสาวมากหน่อยนะคะเจ้าบ่าว


รูปหมู่อันแสนสวยงามค่ะ



เราพบสองสาวนี้ถือเครื่องดนตรี ดูจากรูปทรงของกระเป๋า คิดว่าน่าจะเป็น "ซามิเซ็ง" (นี่เดาเอาเองล้วน ๆ นะคะ) ในนิยายเรื่องคู่กรรมอังศุมาลินเล่นขิม และโกโบริบอกว่า คล้ายกับเครื่องดนตรีญี่ปุ่นที่เรียกว่ ซามิเซ็ง   คิดว่าสองสาวนี้คงจะมาบรรเลงในงานแต่งงานเป็นแน่ (เดาอีกเหมือนกัน)  แต่เธอใส่กิโมโนสวยมาก จึงต้องขอถ่ายรูป




ออกจากวัดเมจิจินกุ  เดินกลับมาที่สถานีฮาราจูกุค่ะ  เที่ยงแล้ว..ยังไม่ต้องคิดว่าจะเที่ยวที่ไหนต่อ  ก่อนอื่นต้องทำให้ท้องอิ่มก่อน


เห็นร้าน Yoshinoya  ร้านโปรดของเรา  เข้าไปทานข้าวกลางวันกันค่ะ


ลุงกับป้าถามตลอดทาง  กินอิ่มก็ถามพนักงานในร้านว่า ถนน Takeshita อันเลื่องชื่ออยู่ไหน  พนักงานชี้ไปข้าง ๆ ร้าน  อ้าวว... มันอยู่ใกล้แค่นี้เองเหรอเนี่ย!!!



ถนนนี้ล่ะค่ะ ที่มีร้านขายเครื่องแต่งตัว Cosplay และคนเดินกันเยอะมาก  บิ๊กถ่ายรูปไม่ค่อยได้เท่าไหร่นะคะ  เพราะยกกล้องขึ้นมาไม่ได้เลย มีแต่ คน ๆ  ๆ  รอบตัวไปหมด  แต่นี่...ก็คือเสน่ห์ของย่านฮาราจูกุเค้าล่ะค่ะ



คนเยอะ  น่าตื่นเต้นดีค่ะ


ร้านขายเครื่องแต่งตัวหลุดโลก


หนูจะแต่ง Cosplay กับเค้าบ้างเหรอจ๊ะ


ร้านแซ่บเว่อร์เสียนี่กะไร



พอจะถ่ายสาว ๆ ได้บ้าง


เดินมาจนสุดถนน  คุณชายได้กางเกงตัวนึง เราเลยพักดื่มกาแฟกันข้างถนนนั่นเอง  นั่งดูผู้คนเดินไปมาก็สนุกแล้วค่ะ







 

เรากลับมาที่สถานีฮาราจูกุ  เพื่อนั่งรถกลับไปสถานี Shibuya ค่ะ


ทิศทางตรงข้ามกับสถานีชิบูย่า  เป็นสถานีโยโยกิ (บิ๊กชอบชื่อสถานีนี้มาก  ไม่รู้ทำไมอ่ะค่ะ  มันให้ความรู้สึก ญี่ปุ๊นนน ญี่ปุ่นอ่ะค่ะ)   มันจะมีสวนชื่อสวนโยโยกิ  ที่สวนแห่งนี้ สถานทูตไทยจัดงาน Thai Festival ทุกปี  และร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นก็จะไปออกร้าน รวมถึงร้านพี่จูนด้วย  และปูเค็มที่เราสองคนหอบหิ้วมาให้พี่จูนก็จะได้ไปอวดศักดาแห่งรสชาติกันที่สวนโยโยกิ เร็ว ๆ นี้ล่ะค่ะ  ภูมิใจ...ภูมิใจ


มาถึงสถานีชิบูย่าแล้ว ตอนแรกไม่รู้เหมือนกันว่ามาที่นี่ต้องไปจุดไหน  ก็เดินกันออกมามั่ว ๆ ตรงนี้เป็นศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง (อย่าถามชื่อ)  เดินมาตรงนี้มีลักษณะคล้าย skywalk สามารถมองออกไปชมวิวย่านชิบูย่าได้ค่ะ


เราไปยืนดูบรรยากาศของย่านชิบูย่าด้วยอาการตะลึง  ผู้คนอะไรจะมากมายขนาดนั้น  รู้แล้วว่ามาชิบูย่าทำไม  แค่ยืนดูผู้คนข้ามถนนก็อลังการงานสร้างแล้วล่ะค่ะ





ยืนดูอยู่ข้างบนมันจะไปสนุกอะไร ต้องลงมามีส่วนร่วมด้วย  ลงมาก็งงไปเลย




ตรงนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาถ่ายรูปความคึกคักของชิบูย่าค่ะ


Selfie ซะหน่อย


ย่านนี้ก็มีผู้คนมาแสดงออกมากมายหลายรูปแบบนะคะ  แสดงออกด้านการแต่งตัวก็มี  ด้านการแสดงก็มี  ตรงนี้คนมุงดูเยอะ  ลุงกับป้าก็ขอมุงด้วย  ปรากฎเป็น Boyband หน้าตาดี  แต่งชุดดำ  ร้องเต้น  สาว ๆ กรี๊ดกันใหญ่


เดินดูร้านค้าและผู้คนต่อไปนะคะ







เราใช้เวลาที่ชิบูย่า  จากเดิมที่คิดว่า แค่ 15 นาที  กลายเป็นเกือบชั่วโมง   ชิอากิโทร.มาบอกว่า  บ้านแม่ของเธอไม่สะดวกรับแขกวันนี้  เราคงไม่ได้ไป  แต่ชิอากิกับมากิจะมาพบเราที่สถานีชินจูกุ  ตอนแรกเราจะขึ้นโตเกียวทาวเวอร์  แต่ชิอากิแนะนำว่า ถ้าจะขึ้นไปชมวิวโตเกียวจากที่สูง  มีอีกที่นึงนะ..ขึ้นฟรีด้วย  ท่านผู้อ่านจำเป็นข้อมูลไว้เลย คือตึกนี้ค่ะ "Tokyo Metropolitan Government"   เพื่อนตุ๊รงค์เรียกตึกนี้ว่า ชินจูกุทาวเวอร์  เป็นตึกศูนย์ราชการของนครโตเกียวนั่นเอง  มันจะมี Observation Deck ให้ขึ้นได้ฟรีค่ะ  ข้างบนมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร




เรานั่งรถจากสถานีชิบูย่าไปสถานีชินจูกุ และรอชิอากิที่นั่น ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสี่ ฝนตกปรอย ๆ เหมือนกัน แต่พอชิอากิมา ฝนก็หยุดตก โอจะจังได้เจอกับมากิตัวน้อย ชิอากิแนะนำให้ไปนั่งรอ จิบกาแฟสักครู่ก่อน เพราะอยากให้ขึ้นไปดูวิวตอนเย็น ๆ หน่อย หรือค่ำเลยก็จะสวย

เราพบร้านกาแฟตรงข้ามตึก  ผู้ใหญ่อยากนั่งข้างนอก แต่มากิน้อยบอกหนาว เลยเข้าไปนั่งข้างใน  ระหว่างนี้ลุงกับหลานเล่นกันสนุกไปเลย  บิ๊กถ่ายภาพนี้ไว้ได้ รู้เลยว่ามากิน้อยรักโอจิจังมากเลย  แม่เข็นไปไหนก็จะร้องหาแต่โอจิจัง  ชั้นเพิ่งรู้ว่าสามีชั้นมีเสน่ห์ดึงดูดเด็ก ๆ ด้วยนะเนี่ย!!!


หาอะไรดื่มอุ่น ๆ แล้วก็เดินข้ามถนนกลับมาเตรียมขึ้นตึก  ถ่ายรูปชิอากิเพื่อนรักไว้หน่อย


เราเข้ามาภายในตึกแล้ว  ตึกนี้มีหลายอาคาร  ถ้าจำไม่ผิด เราขึ้นอาคาร A นะคะ


สวนภายในตึกสวยดีค่ะ


เราต้องไปรอลิฟท์เพื่อขึ้นยอดตึก  ตรงนี้การบริหารจัดการดีมาก  นักท่องเที่ยวเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ มากิน้อยแอ็คท่าถ่ายรูปกับลุงปริ๊นซ์ระหว่างรอคิว



ขึ้นมาแล้วค่ะ ชมวิวได้เกือบ 360 องศา  ตรงจุดที่ชมไม่ได้คือ ร้านอาหารไปตั้งอยู่  แน่นอนว่า อยากชมวิวที่สวยที่สุดตรงนั้น ต้องจ่ายเงินเข้าไปกินอาหารก่อน ซึ่งเราไม่ได้ทำ


ขอบคุณเพื่อนชิอากิ คอยอธิบายว่าตึกไหนคืออะไร  ทำให้ทราบว่า ตอนนี้โตเกียวทาวเวอร์ไม่ได้เป็นตึกที่สูงที่สุดอีกต่อไปแล้ว  เพราะญี่ปุ่นสร้างตึกชื่อ Sky Tree ที่สูงยิ่งกว่า  และที่สำคัญ  โครงสร้างรองรับแผ่นดินไหวไว้อย่างดี  ตอนแผ่นดินไหวใหญ่ 4 ปีที่แล้ว  สกายทรีกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง  แต่ไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่นิดเดียว



บิ๊กจำได้ว่าตึกนี้เรียก Cocoon Tower ตึกดักแด้ค่ะ








ลงมาจากชมวิวอยู่ ๆ บิ๊กก็เริ่มมีอาหารเจ็บที่เท้าขวาเวลาเดิน  เริ่มต้องเดินเขย่ง ๆ แล้ว  แต่ก็พอไปได้เรื่อย ๆ  พาลคิดไปว่า พรุ่งนี้จะไปคามารุระ  ชมพระไดบุสซิไหวหรือเปล่าหนอ
 
อาหารมื้อเย็นของวันนี้ ชิอากิขอเป็นเจ้าภาพ  เพื่อนถามว่า มีอาหารญี่ปุ่นอะไรที่อยากกินแล้วไม่ได้กินบ้างไหม  บิ๊กอ่ะนึกไม่ออก เพราะนึกถึงว่าเราก็กินซูชิไปเยอะแล้ว ก็เลยตอบว่าซาชิมิ  ชิอากิก็เลยบอกว่า ไว้ไปตลาดปลาสิ ได้กินซาชิมิแน่ ๆ
ปริ๊นซ์นึกออกว่ามีสองอย่างที่ยังไม่ได้กินคือ ชาบูกับสุกี้  ชิอากิเลยอธิบายความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้  สรุปคือ สุกี้จะมีเนื้อวัวแต่ชาบูจะไม่มี 
แต่ชิอากิก็บอกอีกว่า กินสุกี้นอกบ้านแพงมาก  ส่วนมากจะกินในบ้านมากกว่า  เราเลยวางแผนกันว่า ระหว่างอยู่โตเกียวจะมาค้างบ้านชิอากิอีกคืนหนึ่ง แล้วเพื่อนจะทำสุกี้ยากี้เลี้ยงเรา  ตกลงเลยจ้ะ
 
เย็นวันนี้เลยเห็นพ้องต้องกันว่าควรลองชาบู ๆ เสียหน่อย  เดินไปเดินมาก็เจอร้านอาหารญี่ปุ่น  ไม่ใช่ร้านชาบูเสียทีเดียว แต่มีชาบูอยู่ในเมนูด้วย  ตกลงเลือกร้านนี้


หน้าตาชาบูญี่ปุ่น  ของแท้แน่นอน


แสงน้อย ถ่ายภาพไม่ค่อยชัดนะคะ นี่คือหม้อข้าวของเขา  บิ๊กว่าหน้าตาคล้ายบาตรพระเมืองไทยมาก  เลยได้ความรู้ว่า ญี่ปุ่นก็มีการทำข้าวตังจากข้าวก้นหม้อเหมือนกันเลยค่ะ  ชิอากิชอบกินด้วย




มากิน้อยมานั่งข้าง ๆ โอจิจัง ส่งภาษาญี่ปุ่นให้แม่  แม่แปลออกมาได้ว่า "เค้าขอนอนหนุนตักโอจิจังได้มั๊ย"   อร๊ายยย..ขี้อ้อนมาก ๆ เลยอ่ะ  ปริ๊นซ์อนุญาตปุ๊บ เค้าก็นอนตักปริ๊นซ์เลย    ลุงกับหลานน่ารักจริง ๆ เลย



คุยกันไปคุยกันมา วกมาที่หัวข้อค่อนข้างจริงจังได้ไงไม่รู้  ชิอากิบ่นว่า งานที่ทำตอนนี้ ทำให้ได้เข้าไปรู้เห็นอะไรในวงการต่างประเทศมากมาย  เธอกังวลว่า จีนจะเปิดสงครามกับญี่ปุ่นในเร็ววันนี้แน่ ๆ เธอถึงขนาดอยากอพยพครอบครัวไปอยู่เดนมาร์ก ที่ที่เธอกับสามีเคยทำงานอยู่ทีเดียว  ฟังแล้วก็ทำให้นึกได้ว่า อยู่ประเทศไหน  ศิวิไลซ์สักเพียงใดก็มีปัญหาทั้งนั้นหนอ  อยู่ที่ใจของเราเองว่าจะปล่อยวางได้เพียงใด  ที่สำคัญอย่าลืมทำบุญไว้เยอะ ๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่างน้อยช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้  อ้าว...เริ่มเสียสนุก ไหงจบวันกลายเป็นธรรมะไปซะงั้น  

จบวันนี้อย่างมีความสุข  ประทับใจเพื่อนอุตส่าห์มาหา  วันพรุ่งนี้มีแพลนไปคามาคุระตอนเช้า  และพบเพื่อนอีกคน คือเพื่อนตุ๊รงค์ที่โยโกฮาม่าช่วงบ่าย  ตุ๊รงค์บอกว่าโยโกฮาม่าสวยมาก แต่ต้องเดินเยอะ  ระหว่างทางกลับบ้านพี่จูนเริ่มกังวล เพราะอาการเจ็บเท้าขวาเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  กลับถึงบ้านพี่จูนก็รีบฉีดสเปรย์คลายกล้ามเนื้อ และนอนหนุนให้เท้าสูงเลย  พรุ่งนี้จะเป็นไงหนอ  ต้องรอลุ้น  ตุ๊รงค์บอกวิธีเดินทางไปคามาคุระไว้แล้ว คงไม่ยาก 

ไปนอนก่อนนะคะ



No comments:

Post a Comment